นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 211

ตอนที่ 211 หัก

โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว !

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า และดื่มสุรา

ฮั่วหวยจิ่นเหลือบมองไปทางซูซูอีกครา ลอบคิดไปว่านางคือคนจากสำนึกกระบี่ของสำนักเต๋าสินะ

ใช้ฉินเป็นดั่งกระบี่ ใช้สำนึกเป็นดั่งกระบี่ แม่นางยังมิรู้จักสำนึก ดังนั้น จึงทำได้เพียงใช้ฉินเป็นดั่งกระบี่

สำนักเต๋าเผยตัวตนสู่โลกน้อยมาก ยุทธจักรในใต้หล้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับป่ากระบี่และภูเขาดาบอย่างลึกซึ้ง แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับสำนักเต๋าและนิกายฝูกลับน้อยอย่างมาก

แต่ฮั่วหวยจิ่นรู้ เพราะจวนกษัตริย์แห่งเจิ้นซีแต่เดิมก็คือสมาพันธ์บู๊ลิ้ม

ซูซูผู้นี้สังหารคนชั่วที่แข็งแกร่งได้อย่างง่ายดายเพียงพริบตา นั่นทำให้สีฉวินเหมยกับหนิงหยู่ชุนรวมไปถึงหยูเวิ่นหวินตกตะลึงอย่างถึงที่สุด เป็นเด็กสาวที่ดูมิมีพิษมีภัยอันใด คาดมิถึงว่าจะตัดร่างที่แข็งแกร่งให้ขาดเป็นสองท่อนได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว นี่มันน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก !

พวกเขาต่างก็หันไปมองซูซู แต่ซูซูกลับก้มหน้าดื่มสุราอย่างเงียบ ๆ

เหล่าสายตาที่มองมานั้นค่อนข้างกดดัน จนซูซูรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงวางขวดสุราลง และก้มหน้าให้ต่ำยิ่งกว่าเดิม

จีหลินชุนมองสองชิ้นส่วนศพที่อยู่บนพื้นหิมะ ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว

นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนเหล่านั้นถึงมิกล้าลงมือกับฟู่เสี่ยวกวนภายในอารามซุ่ยเยว่

พวกเขาได้มาถึงจวนฮุ่ยชินอ๋องแล้ว เหตุใดต้องออกมาทางประตูหน้าด้วยกัน ?

จีหลินชุนมิเข้าใจ หยูเวิ่นเต้าเองก็มิเข้าใจ ฟู่เสี่ยวกวนยืมกระบี่เขามาโดยไม่ถาม “แล้วเช่นนี้ผู้ใดคอยเฝ้าอยู่ทางด้านหลังของจวนชินอ๋องกัน ? ”

เพราะคนผู้นี้ปรี่เข้ามาทางประตูด้านหน้า นั่นหมายความว่าทางด้านหลังมีบางสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคอยอยู่

“ศิษย์พี่สามซูโหรว”

“โอ้…” หยูเวิ่นเต้าพยักหน้า คิดไปถึงสตรีนางหนึ่งที่มีดวงตาเรียวบางและมักจะปักผ้าลายเป็ดอยู่ตลอดเวลา คาดมิถึงว่านางจะฝึกการเย็บชุดสวรรค์ไร้รอยตะเข็บ !

นางอยู่ทางด้านหลัง คนภายในนั้นย่อมเลือกพังประตูหน้าเท่านั้น

ซูโหรวในยามนี้นั่งอยู่บนกำแพงของด้านหลังจวน นางมิได้กำลังปักผ้า แต่กลับกำลังนั่งดื่มสุรา

อากาศหนาวถึงเพียงนี้ ให้ข้ามาเฝ้าที่นี่ แต่มิให้ข้าเข้าไปสังหารด้านใน สังหารไปเพียงผู้เดียวก็ไร้ซึ่งเงาผู้อื่นอีก เขากำลังคิดทำอันใดอยู่กัน ?

เขาให้ศิษย์พี่ใหญ่ไปวัดฟูจื่อ บอกให้ศิษย์พี่ใหญ่รื้อวัดฟูจื่อนั้นเสีย… นี่มันเรื่องอะไรกัน ในวัดนอกจากรูปปั้นดินเผาและไม้แกะสลักก็มิมีสิ่งอื่นใดแล้ว ความหมายของการเคลื่อนไหวของเขาในครานี้คืออันใดกัน ?

ซูโหรวมิรู้ ซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ เองก็มิเข้าใจเช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองซูซู และยื่นมือออกไปลูบหัวของซูซู นั่นทำให้ซูซูรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าใดนัก นางขืนตัวเล็กน้อย แต่มิได้หลบ

“ประเดี๋ยวหากมีคนออกมาอีก อย่าสังหาร ข้าต้องการจับเป็น”

“อือ”

ซูซูกล่าวออกมาเพียงหนึ่งคำ

แต่ภายในประตูนั้นยังไร้การเคลื่อนไหว ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รีบร้อน ทุกคนต่างรอกันหลายอึดใจ คิดว่าฉากนี้อีกเพียงไม่นานก็คงจะจบลงแล้ว แต่ก็อดที่จะเบื่อหน่ายมิได้ จึงเริ่มดื่มสุรากันอีกครา

“งานกวีหลานถิงจี๋ในเทศกาลโคมไฟ เสี่ยวกวน เจ้าต้องประพันธ์บทกวีที่ดีออกมาอีกครา และให้ได้สลักไว้บนหินเชียนเปยสืออีกครา ข่มบทกวีของเหวินสิงโจวผู้นั้นลงมาเสีย ! ”

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงได้นึกถึงเรื่องของเหวินสิงโจวแห่งราชวงศ์อู๋ที่ฉินปิ่งจงเคยกล่าวกับเขาไว้

คนผู้นี้ยอดเยี่ยมยิ่ง ในรัชสมัยไท่เหอปีที่ 20 เขาได้มาเข้าร่วมงานกวีที่เมืองหลวงในเทศกาลโคมไฟ และได้สลัก “โต๊ะหยก งานโคมไฟ” กวีที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ไว้เป็นลำดับแรกบนหินเชียนเปยสือในงานกวีเทศกาลโคมไฟ

คนผู้นั้นเป็นผู้มีความรู้อย่างแท้จริง ไฉนเลยจะเหมือนกับตน…ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมาด้วยท่าทีขลาดเขิน และกล่าวยิ้ม ๆ “นั่นคือนักปราชญ์แห่งราชวงศ์อู๋ ข้าจะเทียบกับเขาได้เยี่ยงไร ?”

สีฉวินเหมยได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนขัดใจเล็กน้อย “เจ้านี่ช่างดูถูกตัวเองเสียจริง ทำนองเพลงสายน้ำของเจ้ายังสามารถสลักเป็นกวีลำดับแรกบนหินเชียนเปยสือในงานกวีเทศกาลไหว้พระจันทร์ได้ แล้วเหตุใดงานกวีเทศกาลโคมไฟจะมิได้กัน ราชวงศ์หยูในปัจจุบัน มีเจ้าเป็นนักกวีอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง ข้าได้ยินชางกวนเหวินซิ่วผู้นั้นกล่าวมาว่า งานเขียน “เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว” ของเจ้าเองก็ได้รับคะแนนจากนักปราชญ์ทั้งห้าในคืนของเทศกาลโคมไฟ ความหมายของชางกวนเหวินซิ่วคือ บทกวีนี้ก็ได้ขึ้นเป็นกวีลำดับแรกบนหินเชียนเปยสือเช่นกัน เจ้าลองนึกตามข้าดู หากงานกวีเทศกาลโคมไฟ เจ้าได้ขึ้นเป็นที่หนึ่งอีก ก็มิใช่ว่าเจ้าได้ลำดับที่หนึ่งมาสามศิลาแล้วรึ ? หากลองมองใต้หล้านี้ดู ว่ามีใครที่ยังสามารถทำเยี่ยงนี้ได้บ้าง ต่อให้เป็นเหวินสิงโจวก็ทำมิได้ ! ”

ครุ่นคิดถึงหินเชียนเปยสือ ก็ราวกับนึกถึงป้ายฝังศพตัวเอง ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะกล่าวว่าตนเองจะไม่เข้าร่วมงานกวีเทศกาลโคมไฟแล้ว แต่กลับพบว่าสายตาของผู้คนต่างมองมาที่ตนเอง และสายตาเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง !

โดยเฉพาะหยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลว !

ลำดับที่หนึ่งสามศิลา !

เป็นความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง !

ในความคิดของเยี่ยนเสี่ยวโหลว เกียรติยศนี้สูงส่งยิ่งกว่าการเป็นรุ่นที่สามของตระกูลเยี่ยนเสียอีก

ดังนั้น ท่ามกลางสายตากดดัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงต้องกล้ำกลืนคำนั้นลงไป และกล่าวอย่างเขินอายว่า “กวีมิมีที่หนึ่ง ข้าคงทำได้เพียงกล่าวว่าจะลองพยายามดู”

สีฉวินเหมยจึงได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ มิมีใครกล้ารับปากว่าบทกวีของตนนั้นจะได้สลักอยู่บนหินเชียนเปยสือ และยิ่งมิต้องไปพูดถึงการอยู่ในลำดับที่หนึ่งเลย

จีหลินชุนเขียนเรื่องราวที่รู้มาทั้งหมดแล้วจึงส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวนอย่างกังวลใจ นางคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะลองดูมัน แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสอดมันเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไม่สนใจ

และในตอนนี้ ทันใดนั้นก็ได้มีคนมากกว่าสามสิบคนออกมาจากประตูฝั่งตรงข้าม

คนเหล่านั้นต่างก็ถืออาวุธเอาไว้ในมือ ในมือของสามคนด้านหน้าถือโล่ป้องกันเอาไว้ ด้านหลังของโล่ยังมีมืออีกธนูสามคน ในพริบตาที่พวกเขาก้าวผ่านประตูใหญ่ก็ได้ยิงธนูมาทางศาลาสามดอก

มือของซูซูวางทาบบนสายฉินอีกครา ฮั่วหวยจิ่นได้ดึงหอกออกมา หอกพุ่งออกไปในพริบตา “ตึงตึงตึง !” และปะทะกับลูกธนูทั้งสามดอกอย่างแม่นยำ ซูซูขึงพืดสายฉิน หลังจากนั้นเสียง “เจิง…” ดังขึ้น และเกล็ดหิมะก็ถูกตัดอีกครา

หลังจากที่สิ้นเสียง ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ก็ได้เห็นประกายไฟสว่างขึ้นมาทางด้านหน้า การรับมือภายใต้การโจมตีที่ไร้ลักษณ์ ทำให้มือโล่ถูกค้อนทุบจนร่างพลิกคว่ำ หลังจากนั้นก็ได้มีคนถือกระบี่พุ่งทะยานไปบนท้องฟ้า

คนเหล่านี้มิได้มุ่งสังหารมาที่ศาลาแห่งนี้ แต่โผบินไปทั่วทุกทิศเพียงพริบตา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)