ตอนที่ 220 ไทเฮาทรงพระเกษมสำราญ
ในค่ำคืนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนร่วมดื่มกับหยูเวิ่นเต้าจนถึงเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นสู่กลางท้องฟ้า
เป็นไปตามที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดไว้ หอชิงเฟิงซี่หยู่มิได้ต่อสู้กับหยี่ฮวาถาย สถานที่แห่งนั้นเมื่อผู้คนจากไปก็ไร้สิ้นเงา
หยูเวิ่นเต้ารู้สึกผิดหวังและเสียใจเล็กน้อย เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามมิได้สนใจต่อสู้กับเขาแม้แต่น้อย
“ข้าคือผู้พ่ายแพ้ที่แท้จริง ! ”
“ท่านคิดเช่นนั้นก็มิถูก”
“ถ้าเช่นนั้นข้าควรทำเยี่ยงไร ? ”
“…องค์ชายควรจะต่อสู้เพื่อตำแหน่ง ! ”
หยูเวิ่นเต้ามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนครู่หนึ่ง “สุราดื่มไปไม่น้อย ดวงจันทร์ขึ้นสู่ยอดฟ้าแล้ว ข้าขอตัว ! ”
เขาเดินกลับออกไป เมื่อเดินไปถึงประตูจวนฟู่จึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ในวันพรุ่งนี้ คาดว่าไทเฮาจะทรงรับสั่งเรียกตัวเจ้าเข้าวัง หากพระนางชอบ เจ้าสามารถเอ่ยเรื่องเพาะปลูกนั่นให้พระนางฟังได้”
หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนยืนมองจนกระทั่งรถม้าของหยูเวิ่นเต้าลับตาไป เขาหันหลังกลับเข้าไปในจวน ในใจยังนึกถึงประโยคของหยูเวิ่นเต้าเมื่อครู่ หรือไทเฮาจะทรงรักในการเพาะปลูกงั้นรึ ?
……
…….
รัชสมัยเซวียนลี่ที่แปด เดือนหนึ่งวันที่เก้า อากาศแจ่มใส
การที่มิต้องประชุมแต่เช้าช่างดียิ่ง !
แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้เสียเวลานอนเล่นอยู่บนเตียง เขายังคงตื่นแต่เช้าและออกกำลังกาย อาบน้ำ นั่งสมาธิ กินข้าวตามปกติ
นับจากการต่อสู้ที่ถนนสายยาวนั้น ทุกคราเมื่อเขานั่งสมาธิ คล้ายกับมีพลังบางอย่างที่บอกไม่ถูก คล้ายกับมีลมปราณหมุนเวียนในร่างกาย แต่เขาก็มิอาจจับต้องได้ และมิอาจสร้างลมปราณที่จุดตันเถียนได้เช่นกัน
จากคำกล่าวของซูเจวี๋ย บัดนี้เขาขาดเพียงเวลาที่เหมาะสม เมื่อเวลานั้นมาถึง ลมปราณเหล่านี้จะก่อตัวขึ้นเอง
สิ่งนี้จะว่าไปก็อัศจรรย์ยิ่ง เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาตามที่ซูเจวี๋ยกล่าว ดังนั้นจึงได้แต่นั่งสมาธิเพื่อฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางต่อไป
กระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มขึ้น ความรู้สึกนั้นก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกับบางอย่างกำลังก่อกระแสไหลเชี่ยว คล้ายกับกำลังลอยอยู่แต่มิอาจจับต้องได้
ต่อจากนั้น เขาก็ได้เขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น ณ หอเถาหราน บทที่สอง เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกำไรจากทุนและภาษี
ในตอนเช้าต่งชูหลานมิได้เดินทางมา เนื่องจากนางได้เดินทางไปยังร้านเสื้อผ้า และเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานตามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยนำเมื่อวาน
ฟู่เสี่ยวกวนรออยู่กระทั่งตอนบ่ายจึงได้รับคำสั่งให้เข้าเฝ้าจากไทเฮา เขาวางพู่กันลงจากนั้นได้นั่งคิดอะไรบางอย่างอยู่กว่าครึ่งก้านธูป จากนั้นจึงไปอาบน้ำแล้วพาซูซูเข้าวังไปพร้อมกับเขา
ซูซูรู้สึกประหลาดใจยิ่งเมื่อเข้ามาในราชวัง
“โอ้โห ! ที่นี่ช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก ! ”
“ดูนั่น ! วังนั้นงดงามยิ่ง ชายคานั่นคือเฟิ่งหวงใช่หรือไม่ ? ”
“……”
ท่าทางของซูซูกับท่านยายหลิวเมื่อตอนเข้ามาในราชวังคราแรกนั้นมิได้ต่างกันเลย
ขันทีเหนียนนำทางฟู่เสี่ยวกวนและซูซูมายังพระตำหนักฉือหนิงกง
เป็นพระตำหนักขนาดใหญ่ที่อยู่ทางใต้ของวังหลวง มองดูแล้วใหญ่โตยิ่งกว่าวังเตี๋ยอี้ของพระสนมซั่งมากนัก
พระตำหนักฉือหนิงกงอยู่ใจกลางราชวัง รอบด้านสี่ทิศเป็นศาลาและสวนดอกไม้
เมื่อทั้งสามเดินเข้ามาด้านใน คล้ายกับได้ยินเสียงใครบางคนร้องงิ้วออกมา เมื่อตั้งใจฟังดี ๆ พบว่าเป็นเนื้อร้องของบทนิยายความฝันในหอแดง
ไทเฮาเรียกเขาเข้าเฝ้าเนื่องจากต้องการให้เขาฟังงิ้วงั้นรึ ?
บัดนี้ฮุ่ยชินอ๋องคงจะตื่นแล้ว เขา…จะอยู่ที่พระตำหนักฉือกงด้วยหรือไม่ ?
เขาหยุดฝีเท้าลงทันใดแล้วกล่าวกับขันทีเหนียนว่า “มีอยู่เรื่องหนึ่งข้าคงต้องไหว้วานขอให้ท่านช่วย”
“เชิญนายน้อยกล่าวมาได้เลยขอรับ”
“ฮุ่ยชินอ๋องจะกลับหลิงหนาน ข้าต้องการให้คนของหอซี่หยู่แฝงกายเข้าไปในจวนฮุ่ยชินอ๋อง ถ้าได้อยู่ข้างกายฮุ่ยชินอ๋องจะเป็นการดียิ่งนัก”
ขันทีเหนียนนึกอยู่ในใจว่า ฮุ่ยชินอ๋องจะกลับหลิงหนานหรือไม่ยังมิอาจตัดสินได้ เหตุใดนายน้อยจึงได้วางแผนเช่นนี้ ?
“ประเดี๋ยวข้าน้อยส่งนายน้อยเข้าไปแล้วจะรีบจัดแจงขอรับ”
“อืม…อ้อ จงสั่งให้คนในราชวงศ์อู่เขียนรายงานเกี่ยวกับวัดหานหลิง อีกทั้งเรื่องราวของเหวินตี้กับราชวงศ์อย่างละเอียดมาให้ข้า แผนที่ราชวงศ์อู่ก็ด้วย เมื่อได้แล้วจงส่งมาให้ข้า”
“ขอรับนายน้อย”
“เชิญนำทางได้”
เสียงงิ้วนั้นยิ่งฟังยิ่งชัดเจนขึ้น ในที่สุดพระตำหนักฉือกงอันงดงามก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฟู่เสี่ยวกวน
ตรงกลางของพระตำหนักมีเวทีแสดงงิ้วตั้งอยู่ ด้านล่างมีร่มถูกวางไว้มากมายอยู่บนเก้าอี้ แต่บัดนี้มีเพียงร่มคันเดียวที่ถูกกางออก ด้านในร่มมีคนสี่คน
ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดเป็นหญิงชราผมขาวผิวพรรณผ่องใส คาดว่าคงจะเป็นไทเฮาแน่นอน ด้านขวาของพระนางเป็นสตรีรุ่นราวคราวเดียวกับพระสนมซั่ง ส่วนด้านซ้ายของพระนางคือฮุ่ยชินอ๋อง !
หยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ข้าง ๆ สตรีผู้นั้น บัดนี้นางได้ละสายตาจากการแสดงงิ้ว แล้วมองมายังฟู่เสี่ยวกวน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)