ตอนที่ 223 ละครในละครนอก
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่สิบ ยามบ่าย
ถึงแม้แสงอาทิตย์จะมิได้ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายมากเสียเท่าใด แต่ก็ยังคงสว่างไสวเจิดจ้า
โคมไฟและสีสันรอบด้านของพระตำหนักฉือหนิงกงถูกจัดให้ดูครึกครื้นมากกว่าปกติ
ภายในตำหนักนางในมีพระสนมซั่งเป็นผู้นำของเหล่านางในและบรรดาเชื้อพระวงค์รวมไปถึงฮูหยินของเหล่าขุนนาง ภายในลานด้านนอกจะมีขุนนางในราชสำนักชั้นน้อยใหญ่และบุคคลมีชื่อเสียงของเมืองหลวง
ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังหลบตัวอยู่ที่โต๊ะตัวมุมด้านหน้าของลาน เขาได้นั่งร่วมกับฉินปิ่งจงและชางกวนเหวินซิ่ว
ส่วนของขวัญที่จะมอบให้ไทเฮานั้น เขาได้ให้หยูเวิ่นหวินไปแล้ว คิดว่าหยูเวิ่นหวินก็คงจะได้มอบให้ไทเฮาแล้วเช่นกัน เพียงแต่มิทราบว่าไทเฮาจะชอบหรือไม่
ต่งชูหลานเองก็ตามต่งหยวนชื่อมารดาของนางเขาไปในพระตำหนักนางในแล้ว คาดว่าวันนี้คงยากที่จะเจอกันอีก
ในตอนนี้ฉินปิ่งจงกำลังจ้องมาทางฟู่เสี่ยวกวน และได้เอ่ยถามขึ้นมา “วันพรุ่งนี้หลังจากงานกวีเทศกาลโคมไฟ เจ้าต้องเลือกคนที่จะไปเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู๋แล้ว เจ้าเคยได้ไปดูที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้คิดถึงเรื่องยุ่งยากพวกนี้ ช่วงหลายวันนี้เขาเอาแต่เขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นเล่มนั้น หากจะต้องไปเลือกบัณฑิต ก็คงต้องรอให้เขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นจนเสร็จ แล้วส่งมันให้กับเยี่ยนเป่ยซีเสียก่อน
“ข้านั้นไร้ฝีมืออย่างแท้จริง…” เขาหันมองชางกวนเหวินซิ่ว แล้วกล่าวยิ้ม ๆ “หากจะกล่าวถึงผู้ที่คุ้นเคยกับผู้มีพรสวรรค์ของเมืองหลวง ข้าคิดว่ามิมีผู้ใดเทียบกับขุนนางระดับสูงช่างกวนได้แล้ว หรือไม่…ขุนนางระดับสูงช่างกวนช่วยเป็นธุระให้ข้าเถิด เรื่องการเลือกบัณฑิตนี้ ท่านจะช่วยข้าได้หรือไม่ ?”
ชางกวนเหวินซิ่วหัวเราะร่า และลูบเครายาวของเขา “เจ้าคิดจะแอบอู้งานรึ ข้าจะบอกเจ้าให้ เจ้าอย่าได้ดูถูกบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ไป ตั้งแต่ที่เหวินสิงโจวได้เข้ามาควบคุมเกี่ยวกับวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสี่สิบกว่าปีแล้ว ในสี่สิบกว่าปีมานี้วรรณกรรมของราชวงศ์อู๋น่าสนใจยิ่งขึ้น มิเหมือนดังเก่าก่อนอีกต่อไปแล้ว ถึงกล่าวว่าราชวงศ์อู๋ยังคงเป็นอาวุธที่แข็งแกร่ง คลื่นลูกใหม่ในวงการวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ก็ได้มีผู้แสดงความสามารถออกมาเป็นจำนวนมากแล้ว และจัวตงหลายก็ถือเป็นแนวหน้าของสำนักศึกษาหลีชานเขตหลานซี มีนามเรียกว่าศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งหลานซี ในปลายปีที่แล้ว ณ เมืองกวนหยุนเมืองหลวงราชวงศ์อู๋ได้จัดงานชุมนุมขึ้น บทกวีและบทความของทั้งเจ็ดได้กวาดล้างแนวโน้มที่ไม่เคยมีมาก่อนของราชวงศ์อู๋ไป ต่างก็ได้รับคำชมจากเหวินสิงโจวกันถ้วนหน้า และบทกวีของจัวตงหลาย ‘คำนึงทาสที่อ่อนช้อย จันทราในสารท’ ก็ชนะเป็นลำดับที่หนึ่ง”
“กวีบทนั้น…ท่วมท้นไปด้วยพลังอย่างแท้จริง มีทั้งความนุ่มนวล และยังมีพลังที่ยิ่งใหญ่นัก”
กล่าวถึงตรงนี้ชางกวนเหวินซิ่วก็เคาะจังหวะและท่องออกมา
“อาทิตย์ตก ณ ประจิม สันดอนหนาวเหน็บ หุบเขาไผ่ที่มืดลึกจางหายไป
หยกดำขึ้นทางบูรพา ณ เมฆาที่คล้อยต่ำ ดาราส่องสว่างเป็นจุดจุด
แสงจันทร์ราวน้ำค้าง กระบี่ยาวต่างร่ายรำ แตกสลายเป็นหิมะนับหมื่น
บทเพลงบรรเลงดัง เอื้อนเอ่ยถามผู้มีพรสวรรค์ในใต้หล้า
ย้อนมองไปหลานซีในปีนั้น ดอกไม้เขาลี่ซานได้เบ่งบาน สุกใสดั่งสายโลหิต
ชูสุราและเอ่ยถาม ยามที่อ่าน กลับพบลมแรงดังพายุ
พายเรือไปในทะเลตำรา ยึดมั่นไม่เยาะเย้ยข้า กร่ำตำราทราบวิทยายุทธ์
แม่น้ำที่หนาวเหน็บกับเงาที่โดดเดี่ยว อริแห่งยุทธภพใต้จันทราแห่งสารท”
ชางกวนเหวินซิ่วส่ายหัวไปมาพร้อมบอกเล่าต่อ “เจ้าลองดูสิ แม่น้ำที่หนาวเหน็บกับเงาที่โดดเดี่ยว อริแห่งยุทธภพใต้จันทราแห่งสารท… นี่มันเป็นการเคลื่อนไหวที่มีชีวิตชีวา และประโยคก่อนหน้าพายเรือไปในทะเลตำรา ยึดมั่นไม่เยาะเย้ยข้า กร่ำตำราทราบวิทยายุทธ์ที่รวมเข้าด้วยกัน และประโยคสุดท้ายก็คือจัวตงหลาย คนผู้นั้นเปรียบตัวเองถึงเงาของความโดดเดี่ยวที่ดื้อรั้นจะแล่นไปในทะเลตำรา ทั้งยังมีความโดดเดี่ยวกับการเป็นผู้มีฝีมือของยุทธภพที่ไร้อริ ดังนั้นความลึกซึ้งของบทกวีนี้จึงสูงส่งอย่างมาก”
ฟู่เสี่ยวกวนตกอยู่ในภวังค์ แม่น้ำที่หนาวเหน็บกับเงาที่โดดเดี่ยว อริแห่งยุทธภพประโยคนั้น เนิ่นนานแล้วที่มิได้นึกถึงมัน
แม่น้ำที่หนาวเหน็บกับเงาที่โดดเดี่ยว อริแห่งยุทธภพใต้จันทราแห่งสารท ช่างน่าเหลือเชื่อ… แต่คนผู้นี้ก็ประพันธ์ออกมาได้ไพเราะอย่างแท้จริง ถึงแม้เขาจะไม่สามารถแยกแยะข้อดีข้อเสียของบทกวีนี้ได้ แต่อย่างน้อยคนผู้นี้ก็เขียนเอง เมื่อเทียบกับตนเองที่คัดลอกมานั้น…เรื่องราวของผู้ใฝ่รู้จะบอกว่าคัดลอกมาได้อย่างไรกัน
ข้าก็เป็นแค่ผู้เคลื่อนย้ายวรรณกรรมของสองโลกเท่านั้น นี่เกียรติยศของข้า !
ดวงตาของชางกวนเหวินซิ่วเบิกกว้าง หรือว่าผู้มีพรสวรรค์แห่งราชวงศ์หยูของข้าก็ตกใจจนติดในภวังค์ของบทกวีนี้เช่นกันรึ ?
“เสี่ยวกวน…”
“โอ้… !”
“ข้าคิดว่าบทกวีนี้มิได้สวยงามมากนัก หากแต่เถรตรงไปเสียเล็กน้อย ร่องรอยตำหนิของการขัดเกลาก็หนักเกินไป ยังคงห่างชั้นที่จะเทียบกับทำนองเพลงสายน้ำของเจ้าได้”
ฟู่เสี่ยวกวนขัดเขินเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำอย่างคาดไม่ถึง โชคดีที่แสงแดดเริ่มเคลื่อนที่ และตกกระทบบนใบหน้าของเขา ชางกวนเหวินซิ่วกับฉินปิ่งจงและคนอื่น ๆ จึงมิได้สังเกตเห็น
“มิมีกวีอันดับหนึ่งตั้งแต่ครั้งโบราณ เสี่ยวกวนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มผู้มีความรู้ ยามเมื่อเจ้าไปยังราชวงศ์อู๋ย่อมเป็นสิงโตสู้กับกระต่าย ทุ่มกำลังของเจ้าทั้งหมดที่มีให้เต็มที่”
ทันใดนั้นชางกวนเหวินซิ่วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา เขามีความสามารถมากมายเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นชายหนุ่มที่ถ่อมตน ด้วยความคิดของตนแล้ว มิใช่ว่าจัวตงหลายก็มิสามารถเทียบกับเขาได้แล้ว
“หากจะกล่าวถึงนักวรรณกรรม เยาวชนของราชวงศ์อู๋ก็ขาดสตรีผู้นี้ไปมิได้เช่นกัน นางคือธิดาของเหวินตี้แห่งราชวงศ์อู๋ องค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์อู๋ อู๋จ้าว”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจอีกครา อู๋จ้าวรึ ?
อู๋เจ๋อเทียนเยี่ยงนั้นรึ !
“ประเดี๋ยวก่อน ๆ ขุนนางระดับสูงช่างกวน จ้าวในชื่ออู๋จ้าวนั้นคือจ้าวตัวใดกัน ?”
“จ้าวที่แปลว่าส่องสว่าง”
“โอ้…ท่านเชิญต่อได้เลย ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)