นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 229

ตอนที่ 229 ค่ำคืนลมโชย (2)

ในเวลาเดียวกัน

ทั่วทุกมุมของเมืองหลวงต่างก็ได้รับใบประกาศเยี่ยงนี้ หลานถิงจี๋เองก็มิใช่ข้อยกเว้น

มีบัณฑิตอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก หลังจากที่พวกเขาได้อ่านใบประกาศนั้นจบพวกเขาต่างก็เปลี่ยนแปลงตัวตนในทันที เปลี่ยนแปลงเป็นเยาว์ชนที่โกรธแค้น !

พลังของเยาว์ชนที่โกรธแค้นนั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขามีความรู้ เข้าใจกฎหมาย และมีความชอบธรรมเป็นเลิศ

คาดมิถึงว่าเฟ่ยอันจะกล้าตัดศีรษะราษฎรของราชวงศ์หยูเพื่อสวมรอยเป็นผลงานของทหาร

นี่ไม่เพียงแต่จะฝ่าฝืนกฎหมาย นี่มันเป็นการก่อกบฏด้วยซ้ำ

“ท้องฟ้าแจ่มใส คาดไม่ถึงว่าเจ้าคนชั่วจะใจกล้าถึงเพียงนี้ ข้าและคนอื่นร่ำเรียนเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมชะล้างสิ่งขุ่นมัว กบฏเฟ่ยอันที่กระทำการผิดต้องได้รับการลงโทษ หากทุกท่านยังมีจิตใจที่แกร่งกล้า มิต้องไปกลัวอำนาจของตระกูลเฟ่ย โปรดตามข้ามา ไปยังจวนผู้ว่าเขตจินหลิงเพื่อยื่นคำร้องเพื่อทุกคนกัน”

มวลชนต่างฮึกเหิม เสียงตะโกนเรียกเฟ่ยอันสะเทือนลั่นไปทั่วฟ้า

ฟู่เสี่ยวกวนมองอย่างใจเย็น และหันไปถามฉินเหวินเจ๋อที่อยู่ข้างกาย “คนผู้นั้นคือใครกัน”

“บัณฑิตของจี้เซี่ย เฉินชู่”

“มีภูมิหลังเยี่ยงไรหรือ”

ฉินเหวินเจ๋อครุ่นคิด แล้วส่ายหน้า “เหมือนจะเป็นจวี่เหรินในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่6 ศึกษาที่จี้เซี่ยเป็นเวลา 2 ปี อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เลว”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า และจดจำนามเฉินชู่นี้ไว้

“พวกเราจะไปดูความครึกครื้นนั้นหรือไม่” ชางกวนเหมี่ยวเอ่ยถามด้วยท่าทีกกะเหี้ยนกระหือรือ

“พวกเจ้ามีความคิดเยี่ยงไรกับสถานการณ์ในตอนนี้” ฟู่เสี่ยวกวนไม่ขยับ แต่กลับเอ่ยถามขึ้นมา

“เมื่อได้อ่านสิ่งที่เขียนบนใบประกาศ น่าจะเป็นความจริง เพียงแต่ยังดูมีลับลมคนในอยู่เล็กน้อย” ฉินเหวินเจ๋อตอบกลับไป

“ลองกล่าวมา”

“เจ้าคิดว่า หากฝ่าบาทมิทรงทราบเรื่องที่เฟ่ยอันตัดศีรษะประชาชนเพื่อสวมรอยเป็นผลงานของทหาร เขาสมควรจะได้เป็นนายพลสูงสุดของกองทัพชายแดนตะวันออกใช่หรือไม่ แต่ในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 เขากลับชิงลาออกไปยังเขตหนานหลิง… ความหมายของข้าคือ ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ แต่ด้วยเหตุอันใดสักอย่าง จึงมิได้ประกาศเรื่องนี้ออกไป ในตอนนี้ก็ได้ถูกคนนำออกมาแฉ ทั้งยังป่าวประกาศให้คนทั่วเมืองหลวงทราบ เกรงว่าฝ่าบาทก็คงปวดหัวไม่น้อย”

ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมองฉินเหวินเจ๋อ ชายผู้นี้ไม่เลว ใคร่ครวญได้หมดจด เขาจึงได้ถามขึ้นมาอีกว่า “เนื่องจากตอนนี้เรื่องนี้ได้ถูกเปิดโปงแล้ว พวกเจ้าคิดว่าเฟ่ยอันจะทำเช่นไร และฝ่าบาทจะทรงลงมือเช่นไร ? ”

ตามความเข้าใจของฉินเหวินเจ๋อ ฟู่เสี่ยวกวนกำลังทดสอบเขาอีกครา เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และตอบว่า “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ในครานี้ เกรงว่าเฟ่ยอันจะหลบซ่อน ส่วนทางฝ่าบาท ย่อมต้องให้โทสะของราษฎรคลี่คลายก่อน หลังจากนั้นก็จะใช้วาจายืดเวลาออกไป สามัญชนมักจะถูกยุยงได้ง่ายที่สุด แต่ก็หลงลืมเรื่องเหล่านี้ได้ง่ายที่สุดเช่นกัน”

“ขอเพียงผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็จะถูกเรื่องในชีวิตประจำวันกำจัดไป และจะหลงลืมเรื่องนี้ไป นอกจากนี้… พวกเขามิมีกำลังมากพอจะมาล้อมรอบจวนผู้ว่าเขตจินหลิงเป็นวัน ๆ เพื่อคนที่ไม่รู้จักเพียงคนเดียว มิมีทางเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อคนแปดร้อยคนที่ไม่รู้จัก ดังนั้นข้าคิดว่าเรื่องนี้ในท้ายที่สุดก็จะสลายหายไปเป็นควัน หรือบางทีคงจะอยู่ในความทรงจำของพวกเขา และคงพูดขึ้นมาเป็นครั้งคราวว่า เฮ้อ.. เฟ่ยอันผู้นั้น เหมือนว่าจะยังไม่ตาย”

ฉินเหวินเจ๋อยกยิ้ม สองมือแบออก “ผลลัพธ์คร่าว ๆ ก็น่าจะเป็นเช่นนี้”

ชางกวนเหมี่ยวถอนหายใจ “ดังนั้นข้าจึงมิฟังคำแนะนำของท่านปู่และเลือกหนทางจอมยุทธ์ ทั้งยังเรียบง่ายกว่าการเป็นทหารเล็กน้อย ความเป็นความตายอยู่กับหนึ่งดาบ มิเหมือนกับเรื่องบนท้องพระโรง… เมื่อทราบแล้วก็จะว้าวุ่นใจ มิทราบก็รำคาญใจไปอีก ความยุติธรรมที่เรียกกัน… ความยุติธรรมที่มาทีหลัง ยังเรียกว่าความยุติธรรมได้อีกหรือ”

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ตอบเขาไป ปัญหานี้คือปัญหาของระบบ เขาไร้หนทางจะตอบให้..ได้

……

…..

วังเตี๋ยอี๋

พระสนมซั่งคิ้วขมวด ฝ่าบาทมิได้อยู่ที่นี่ในยามนี้ นางเดินไปยังลานกว้าง เงยหน้าขึ้นไปมองดวงจันทร์สว่างบนฟ้า ทันใดนั้นก็มอบสามคำสั่งให้ขันทีเหนียนไปจัดการ “รีบปิดหลานถิงจี๋ เรือทั้งหมดที่อยู่ในทะเลสาบเว่ยหยางห้ามเทียบท่า นอกจากนั้นสั่งไปยังหนิงหยู่ชุน จัดการคดีนี้ และโทสะของมวลชนเสีย หลังจากที่กลับมาเจ้าก็รีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทูลถวายฝ่าบาทให้โยกย้ายยามรักษาการณ์เข้ามาในเมือง”

“กระหม่อมจะไปจัดการ”

ขันทีเหนียนหันหลังออกไป หยูเวิ่นหวินจึงเอ่ยถามขึ้นมา “เสด็จแม่ ในเมื่อเฟ่ยอันกระทำการร้ายแรงเยี่ยงนี้ ให้พวกเขาทำเรื่องนี้ให้ใหญ่ขึ้นอีกเสียหน่อยมันไม่ดีหรือเพคะ”

พระสนมซั่งหันกลับมา และเอ่ยถาม “เจ้ารู้อย่างนั้นหรือว่าใครเป็นผู้ลงมือ”

“ก็บนนั้นมิใช่เขียนไว้ว่าจากคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านมิใช่หรือเพคะ”

พระสนมซั่งยกยิ้ม คิดว่าใช้ชีวิตให้เรียบง่ายดั่งเวิ่นหวินคงจะดีเสียกว่า

นางมิได้ตอบ กลัวว่าหยูเวิ่นหวินจะเป็นกังวล

คาดไม่ถึงว่าชายผู้นั้นจะทำเรื่องที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้

นี่มันสร้างความโกลาหลได้อย่างแท้จริง

เกรงว่าในยามนี้จะมีผู้คนมากมายที่กำลังรอความตื่นเต้น เกรงว่าในยามนี้จะยังมีคนอีกจำนวนมากใช้โอกาสโหมกระพือกองไฟ

“พระวรกายของไทเฮาเป็นเยี่ยงไรบ้าง”

“มิค่อยดีเพคะ วันนี้สลบไปแล้วสองหน และเสวยเพียงโจ๊กถ้วยเล็กหนึ่งถ้วยเท่านั้น”

“ช่วงนี้ เจ้าไปอยู่ข้างกายไทเฮาให้มากเถอะ จากที่ดูในตอนนี้แล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”

“เพคะ” หยูเวิ่นหวินก้มหน้า ดวงตาแดงระเรื่อ

“ยังต้องมีเรื่องอีกมากมาย”

…..

…..

เยี่ยนเป่ยซีหยิบใบประกาศนั้นขึ้นมาชำเลืองมองเพียงเท่านั้น

“เตรียมรถ”

“หยิบชุดเข้าเฝ้ามา”

“เรียกเยี่ยนซือเต้ากลับมา และให้เข้าวังประเดี๋ยวนี้”

“ไปเชิญราชครูอาวุโสเฟ่ยเข้าวัง”

เมื่อออกคำสั่งไปจนหมดสิ้น เขาก็เปลี่ยนมาใส่ชุดเข้าเฝ้า ขึ้นรถม้า และตรงไปยังวังหลวงในทันที

……

…..

เขตหนานหลิง เรือนเสียนหยุน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)