ผู้ที่เดินเข้ามานั้นคือองค์ชายที่สิบสามแห่งแคว้นฝาน ฝานเทียนหนิงและศิษย์ก้นกุฏิของหัวหน้านิกายฝู คูฉาน
ฝานเทียนหนิงยกมือขึ้นคารวะมาแต่ไกล เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“บอกตามตรงว่าบัดนี้ข้าถึงได้รู้ เพียงแค่มีเงินทองมากมายก็สามารถทำทุกสิ่งได้ตามใจชอบ ! คฤหาสน์จิ้งหูนี้เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมเสียทีเดียว คุณชายฟู่เพิ่งจะเดินทางมายังเมืองกวนหยุนได้มินาน ก็สามารถซื้อที่อยู่ใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ ข้าน้อยรู้สึกชื่นชมเสียยิ่งนัก !
ฟู่เสี่ยวกวนก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน เขายกมือคารวะตอบกลับไปแล้วยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านเป็นถึงองค์ชายแห่งแคว้นฝาน กล่าววาจาเช่นนี้มิเท่ากับตบหน้าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฝานเทียนหนิงเดินมาหยุดเบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวน เขาชายตาไปยังหินที่แตกกระจัดกระจายบนพื้นด้วยความสงสัย จากนั้นสายตาก็มองมายังฟู่เสี่ยวกวน “ท่านอาจมิเชื่อข้า อย่าว่าแต่หนึ่งล้านตำลึงเลย เพียงแค่หนึ่งแสนตำลึงข้ายังมิมี มองดูแล้วพ่อค้าที่ดินก็มิเลวเสียทีเดียว รอให้ข้ากลับแคว้นไปข้าจะทูลขอเสด็จพ่อให้ประทานที่ดินแก่ข้าสักหน่อย ข้าก็จะได้เป็นพ่อค้าที่ด้วย เพียงแต่ว่า…ก่อนที่จะเป็นพ่อค้าที่ดินเต็มตัว ข้าควรจะต้องเรียนรู้จากท่านเสียหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาทันใด “ที่ดินเหล่านั้นท่านพ่อข้าเป็นผู้ซื้อ บิดาของท่านเป็นถึงจักรพรรดิ หากจะเปรียบเทียบกันเรื่องบิดานั้นข้าคงสู้ท่านมิได้ ! หากท่านต้องการจะเป็นพ่อค้าที่ดินก็จงได้ทำตามใจของท่าน เป็นเรื่องง่ายดายเสียทีเดียว”
“ข้ามิสนใจหรอก หากมีโอกาสเดินทางไปยังแคว้นหยู ข้าจะต้องเดินทางไปยังที่ดินของท่านเพื่อศึกษาหาความรู้อย่างแน่นอน”
“ข้ายินดีต้อนรับยิ่ง…โต๊ะนี้แย่ยิ่งนัก มันแตกเสียแล้ว เชิญท่านเข้าไปด้านในเถิด”
“เดิมทีข้าประสงค์จะเดินทางไปยังจายซิงถาย เมื่อตอนเดินทางมาค่อนข้างกระชั้นชิด ตามธรรมเนียมแล้วนี่ควรจะเป็นวันฉลองบ้านใหม่ของท่าน แต่ข้ากลับมิได้นำของขวัญมา แต่ทว่าข้าได้สั่งอาหารไว้ที่เซียนเค่อหลายสำหรับหนึ่งโต๊ะแล้ว อีกประเดี๋ยวบ่าวรับใช้ของข้าคงจะนำมาให้ พวกเราไปดื่มสุราชมจันทร์ที่จายซิงถายเป็นเยี่ยงไร ? ”
เมื่อได้ยินชื่อจายซิงถาย ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ต่างก็ยังมิได้มีเวลาไปเยือน บัดนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ในเมื่อฝานเทียนหนิงเอ่ยขึ้นมา เป็นจังหวะเหมาะเจาะที่จะเดินทางไปเสียที
เพียงแต่ว่า…
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังศิษย์พี่รอง แล้วกล่าวกับฝานเทียนหนิงว่า “โต๊ะหนึ่งคาดว่าคงมิพอ”
ฝานเทียนหนิงตกตะลึงไปชั่วครู่ เพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น เหตุใดจึงมิพอ ?
แต่เมื่อเขามองไปยังเกาหยวนหยวนแล้วก็เข้าใจความหมายของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงได้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็สั่งเพิ่มอีกหนึ่งโต๊ะ เพียงแต่ว่า…”
ผู้ที่ติดตามเขามานั้นมีเพียงคูฉาน เขาเป็นลูกศิษย์ของหัวหน้านิกายฝู มิใช่บ่าวรับใช้ของเขา แต่ตัวเขาเองก็ประสงค์จะสนทนากับฟู่เสี่ยวกวน จะให้ผู้ใดไปจึงจะเหมาะสม ?
ทันใดนั้นหนิงซือเหยียนที่ยืนพิงประตูดื่มสุราอยู่นั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เห้อ…เช่นนั้นก็คงจะต้องเป็นข้าที่เดินทางไป แต่ข้าขอบอกก่อนว่า จะคิดค่าตอบแทนเป็นสุราเทียนฉุนจำนวน 2 ลัง ท่านว่าเยี่ยงไร ? ”
ฝานเทียนหนิงมิรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของเดิมของที่แห่งนี้ แต่เมื่อมองไปยังท่าทางที่เขายืนพิงประตูอย่างสบายอารมณ์เช่นนั้น มองไปคงมิใช่บ่าวรับใช้ธรรมดาเป็นแน่ บ่าวผู้ใดจะกล้าทำเยี่ยงนี้เล่า ?
ดังนั้นเขาจึงได้ตอบตกลงหนิงซือเหยียน พร้อมทั้งกำมือขึ้นคารวะ “เช่นนั้นคงต้องลำบากท่านแล้ว”
หนิงซือเหยียนยักคิ้วแล้วหันหลังเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนพาผู้คนทั้งหลายเดินมายังจายซิงถาย
จายซิงถายตั้งอยู่บนเขาแห่งหนึ่งภายในคฤหาสน์จิ้งหู
ภูเขานี้แม้จะมิสูงมาก แต่เดิมทีเมืองกวนหยุนก็สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ที่เชิงเขามีหินก้อนหนึ่งตั้งอยู่ บนหินก้อนนั้นเขียนไว้ว่าเหยียนซาน คาดว่าหนิงฝาเทียนคือผู้เขียน เขาใช้คำแรกของชื่อเหยียนหรูยวี่มาตั้ง
ถนนที่ขึ้นไปบนภูเขาเต็มไปด้วยบันไดปูด้วยหินอ่อนสีขาว บันไดนี้ตั้งอยู่ระหว่างต้นสนและใบไผ่เขียวชอุ่ม แสงมืดสลัวลงทันใด พวกเขามองเห็นเสาธงมากมาย บนเสาข้างทางนั้นมีโคมไฟแขวนอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองดู เขาคิดในใจว่าหากโคมไฟเหล่านี้ถูกจุดขึ้นทั้งหมดคงจะงดงามมิน้อย
ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น ซูปิงปิงก็ลอยตัวมาหยุดอยู่บนเสานั้น นางมองไปยังด้านในโคมไฟ จากนั้นก็หยิบตะบันไฟออกมา ด้านในโคมนั้นเต็มไปด้วยน้ำมัน !
ใส้ในก็ยังดีอยู่ ดูไปราวกับยังมิเคยถูกจุดเสียด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)