เมืองชั้นในของเมืองกวนหยุน ณ ตรอกหลิงหยุน
ที่นี่มิใช่ตรอกที่รุ่งเรืองในเมืองกวนหยุน ตรงกันข้าม มันเงียบอย่างถึงที่สุด
จวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาตั้งอยู่ใจกลางของตรอกเส้นนี้ พื้นที่กว้างใหญ่ มีต้นไม้โบราณตั้งตระหง่าน สะท้อนตึกและอาคารกันอย่างสมดุล สงบเงียบและสวยงาม แต่ก็มีบรรยากาศที่อลังการ
ภายในห้องอักษรในเรือนหลักของจวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงผู้ทรงอำนาจในราชวงศ์อู๋กำลังต้มชาอย่างขะมักเขม้น
คนที่จะสามารถมาดื่มชาที่ห้องอักษรของเขาได้นั้น เมื่อมองดูจากทั่วราชวงศ์อู๋แล้วมีเพียงไม่กี่คน และในยามนี้ก็ได้มีคนเยี่ยงนั้นอยู่หนึ่งคน ที่นั่งลงเบื้องหน้าเขาอย่างสบายใจ
เป็นชายชราจอนผมสีดอกเลาเช่นเดียวกัน เขาคือเจ้าของหอเทียนจี เขามีนามที่ไพเราะอย่างยิ่งว่า โจวถงถง !
“เจ้าเด็กนั่นค่อนข้างมีความสามารถ คาดมิถึงว่าจะสืบค้นมาถึงตัวข้า ถงถงเอ๋ย ประโยคที่เด็กนั่นกล่าวกับข้าเมื่อวาน ณ พระราชวังจวี้หัว เจ้าเองก็ได้ยินแล้วเช่นกัน เจ้ามีความคิดเห็นว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”
โจวถงถงหัวเราะร่า “ข้าจะมีความคิดอันใดได้ ก็เหมือนกับในตอนนี้ ทำได้เพียงนอนคิด”
จัวอี้สิงคิ้วขมวดเล็กน้อย “ขันทีชราผู้นั้นไปยังพระราชวังเจิ้งหยางแล้ว”
“น้ำร้อนกำลังได้ที่ รีบใส่ชาลงไป…เขาจะไปก็ไปสิ มิใช่เรื่องใหญ่อันใดเลย”
“บันทึกประจำวันเมื่อสามปีนั้นของฝ่าบาทยังมิทราบเบาะแสอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ทันใดนั้นโจวถงถงก็นั่งลง และแย่งใบชาในมือของจัวอี้สิงมา ลดไฟลงเล็กน้อย แล้วจึงนำใบชาเรียวยาวห้าใบจากในกระปุกชาออกมาใส่ในกาน้ำชา
“บันทึกประจำวันสามปีนั้น ข้าขอแนะให้เจ้าหยุดตามหามันไปได้แล้ว ข้าทราบว่าพวกเจ้ากำลังกังวลกับอะไร แต่ข้ายังคงยืนหยัดในมุมมองเดิม ตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนมิได้สลักสำคัญอันใด ! ”
จัวอี้สิงชำเลืองสายตามองโจวถงถง แล้วกล่าวออกมาว่า “เหตุผลเล่า ? ”
“องค์รัชทายาทในวันนี้ได้เข้าตำหนักตะวันออกไปสี่ปีแล้ว ถึงแม้จะแสนสาหัส แต่ก็มิได้ผิดร้ายแรงอันใด และฟู่เสี่ยวกวนที่เกิดในราชวงศ์หยูและโตในราชวงศ์หยู ตามรายงานของหอเทียนจี คนผู้นี้มิได้ทะเยอทะยานในอำนาจมากนัก เพียงแค่อย่าได้ไปยั่วยุเขา เขาก็จะมิกัดใครสุ่มสี่สุ่มห้า”
จัวอี้สิงคิ้วขมวด “แต่หากเขาเป็นพระโอรสของฝ่าบาทจริง ๆ เล่า หากฝ่าบาทยอมรับโอรสผู้นี้ขึ้นมาล่ะ ? ”
โจวถงถงถอนหายใจ “นี่ก็ผ่านมานานมากแล้ว หากฝ่าบาทต้องการรับ เหตุใดต้องรอให้ถึงวันนี้ด้วย นอกจากนี้…ขอกล่าวกับเจ้าอย่างมิปิดบัง บันทึกประจำวันของสามปีนั้น อยู่ในมือของไทเฮามาโดยตลอด”
หรือกล่าวได้ว่าตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนนั้น ฝ่าบาททรงรับทราบมาเนิ่นนานแล้ว
เยี่ยงนั้นไทเฮาก็เป็นคนนำบันทึกประจำวันของสามปีนั้นไป…ก็มีความหมายว่ามิต้องการให้บุตรนอกสมรสผู้นี้รับรู้ถึงบรรพบุรุษใช่หรือไม่ ?
“ดังนั้นเรื่องเลวร้ายที่เจ้าได้ทำลงไป ได้ทำให้ฝ่าบาทเป็นกังวล ฝ่าบาททรงเป็นเมล็ดพันธุ์ของความลุ่มหลง เรื่องนี้แม้แต่เจ้า ข้ารวมไปถึงขุนนางนับร้อยคนก็ทราบดี และงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ ก็เกิดขึ้นเพราะเรื่องชั่วร้ายที่เจ้าและจักรพรรดินีเซียวเป็นผู้กระทำ…ผลที่ได้จึงตรงกันข้าม ความหมายก็ประมาณนี้”
จัวอี้สิงคิ้วขมวดนิ่วขึ้นไปอีก เขาเพียงต้องการกำจัดอันตรายที่มองไม่เห็นไปเท่านั้น ภัยอันตรายนี้มาจากข่าวลือในวังหลวงเมื่อไม่กี่ปีก่อน กล่าวว่าจักรพรรดิเหวินในวัยหนุ่มได้ลุ่มหลงสวี่หยุนชิงแห่งเมืองจินหลิง…หลังจากนั้นก็ได้คลอดบุตรออกมา 1 คน นามว่าฟู่เสี่ยวกวน
หลังจากนั้นเขาก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบที่หลินเจียง หลังจากที่รับข่าวมาว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นลูกผู้ดีผู้หนึ่งในหลิงเจียง มิเข้าใจในบทกวีหรือบทความ มิได้ฝึกฝนตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า ชื่นชอบความรื่นเริง ทั้งร่างนั้นต่างแผ่ไปด้วยประกายที่เจิดจรัสของสิ่งไร้ค่า
บุคคลเช่นนั้น ย่อมมิคุ้มค่าให้เขาต้องลงมือ ครุ่นคิดว่าต่อให้ฝ่าบาททรงทราบ ฝ่าบาทก็ไม่ประกาศให้ใต้หล้ารับรู้ถึงบุตรนอกสมรสเยี่ยงนี้เป็นแน่
ดังนั้นไม่ว่าเขาหรือจักรพรรดินีเซียว ต่างก็มิได้ให้ความสนใจฟู่เสี่ยวกวนอีก แต่คาดมิถึงว่าในปีนั้น ของไร้ค่าที่แสงริบหรี่ก็ได้มีชื่อเสียงขึ้นมา
คาดมิถึงว่าเขาจะประพันธ์บทกวีที่น่าทึ่งออกมา และคาดมิถึงว่าจะกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมจากหลินเจียง และบทกวี ‘ทำนองเพลงสายน้ำ’ ของเขาก็ยังได้ถูกสลักเป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือ
นั่นทำให้เขาและจักรพรรดินีเซียวตกตะลึงอย่างยิ่ง ทั้งสองต้องกลับมามองฟู่เสี่ยวกวนใหม่อีกครา และความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นไปในทางเดียวกัน ฟู่เสี่ยวกวนถูกปกปิดมา 16 ปีเต็ม !
แผนการของคนผู้นี้ น่ากลัวอย่างยิ่ง !
ดังนั้น จึงได้เกิดการลักพาตัวคราแรกขึ้นที่จินหลิงเมื่อปีที่แล้ว
การลักพาตัวฟู่เสี่ยวกวนในยามนั้น มิใช่ต้องการสังหารเขา แต่ต้องการส่งกลับไปยังราชวงศ์อู๋อย่างลับ ๆ เพราะไม่ว่าจะเขาจัวอี้สิงหรือจักรพรรดินีเซียว ก็ต้องการเห็นชายหนุ่มที่ถูกปกปิดมา 16 ปีเต็มอย่างยิ่งว่าท้ายที่สุดแล้วจะมีรูปลักษณ์เยี่ยงไร
แน่นอนว่าท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็ยังต้องตาย เพียงแต่ก่อนที่จะตายนั้น พวกเขาเพียงต้องการที่จะหน้าเขาสักครา
และสุดท้ายเรื่องนี้ก็เป็นอันล้มเหลว หลังจากนั้นฝ่าบาทถึงได้มีพระประสงค์ในการจัดงานชุมนุมวรรณกรรมทั่วหล้าขึ้นที่ราชวงศ์ ตามคำเอ่ยของโจวถงถง ฝ่าบาททรงทราบเรื่องการลักพาตัวในครานี้ เยี่ยงนั้นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพระเนตรของฝ่าบาทก็จดจ้องอยู่ที่บุตรนอกสมรสที่อยู่ห่างกันไกลถึง 3,000 ลี้เช่นกัน
หรือจะเป็นเพราะการลักพาตัวครานั้นจริง ๆ เยี่ยงนั้นรึ ที่ทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนพระทัยไป ?
จัวอี้สิงเงียบไปหลายอึดใจ และเอ่ยถามว่า “แล้วเจ้าทราบได้เยี่ยงไรว่าบันทึกประจำวันของสามปีนั้นอยู่ในมือของไทเฮา ? ”
“ในวันที่สองเดือนสองไทเฮาได้ไปยังกวนหยุนถาย ผู้อาวุโสในจวนของนางยืนยันด้วยตนเอง”
จัวอี้สิงคิ้วขมวดนิ่ว นี่ก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว เหตุใดไทเฮาถึงได้กล่าวถึงเบาะแสบันทึกประจำวันของสามปีนั้นในวันที่สองเดือนสองกัน ?
มิเคยพบเห็นบันทึกประจำวันเล่มนั้น สำหรับตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนไร้หนทางที่จะยืนยันได้ แน่นอนว่าความคิดของจัวอี้สิงและจักรพรรดินีเซียวย่อมเหมือนกัน การมีอยู่ของฟู่เสี่ยวกวน ได้สร้างความไม่มั่นคงที่ใหญ่หลวงอย่างมากให้แก่ท้องพระโรงราชวงศ์อู๋ โดยเฉพาะในยามนี้ที่ชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนขจรไกลไปทั่วหล้า ความนิยมของเขาในหมู่บัณฑิตและชาวประชานั้นมีสูงส่งจนเกินไป เมื่อเทียบกับองค์รัชทายาทแล้ว…ย่อมเป็นที่จับตามองอย่างแท้จริง
ผ่านมานานหลายปีแล้วไทเฮาเพิ่งจะได้ถึงเบาะแสของบันทึกประจำวันเล่มนั้น สัญญาณที่แผ่ออกมานี้ทำให้จัวอี้สิงรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง ไทเฮาจำลูกนอกสมรสผู้นั้นได้แล้ว !
ต่อจากนั้นจะเกิดเหตุร้ายอันใดขึ้นอีกกัน ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)