เมื่อฟู่เสี่ยวกวนแหงนหน้าขึ้นมองท้องนภา ก็ค้นพบว่าดวงอาทิตย์อยู่ตรงกับศีรษะของเขาพอดิบพอดี
เขาทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า แล้วก็ได้พบเนินสูงอยู่เบื้องหน้าห่างไปราว 30 จั้ง และเนินสูงนั่นก็เป็นที่ตั้งของตำหนักเฉินเตี้ยนขนาดใหญ่
เขาจ้องมองตำหนักได้เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ จากนั้นก็ถูกภูเขาหิมะด้านหลังของตำหนักนั้นดึงดูดอีกครา
หิมะสีขาวโพลนเมื่อกระทบกับแสงสุริยาก็ได้สาดแสงจ้าทำให้ตาพร่ามัวไปชั่วขณะ ดั่งอัปสราที่สวมอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ที่คอยส่งสายตาอันมีอำนาจมาจับตาทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้
ถ้าหากมาท่องเที่ยว ทิวทัศน์นี้คงจะงดงามตระการตามากยิ่งนัก
ถ้าหากมาเคารพบูชา ที่แห่งนี้ก็คงศักดิ์สิทธิ์มิแพ้กัน
แต่ถ้าเกิดหิมะถล่ม…มิว่าใครหน้าใหนก็มิอาจหนีรอดออกไปได้ !
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมเย็น ๆ เข้าไปจนเต็มปอด แล้วก็หันไปมองทางตำหนักเฉินเตี้ยนอีกครา
นี่เป็นตำหนักของวัดเฉินเมี่ยว ทั้งดูเคร่งขรึมและน่าเคารพนับถือ มีธงผ้าไหมพลิ้วไหวอยู่โดยรอบ ด้านหน้ามีทางเข้าขนาดใหญ่
นักบวชในชุดสีแดงเดินออกมา 1 คน ด้านหลังของเขาก็ได้มีนักบวชในชุดสีดำตามออกมาด้วยอีกหนึ่งขบวน
พวกเขาทั้งหมดได้เดินลงบันไดที่ทอดยาวนับร้อยขั้นลงมา จากนั้นก็ได้มาหยุดอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของจักรพรรดิเหวิน
นักบวชในชุดแดงนั้นได้โค้งคารวะ และนักบวชในชุดดำทั้งหมดนั้นก็ได้หมอบลงกับพื้น
“บัดนี้ได้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว เรียนเชิญองค์ฝ่าบาทขึ้นประจำแท่นบูชา ! ”
จักรพรรดิเหวินทรงจูงมือฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็นำเขาขึ้นบันไดไปยังสถานที่ประกอบพิธีกรรม ใช้เวลามิกี่อึดใจเท่านั้น ทั้งสองก็ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าของวัดเฉินเมี่ยว
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเศร้าสลด
ตัวตำหนักของวัดเฉินเมี่ยวนั้นมีผนังสีแดงและเสาสีดำขนาดสูงใหญ่ ราวกับมีสัตว์ในตำนานนอนหมอบอยู่เบื้องหน้า
บนแท่นภายในวัดเฉินเมี่ยวนั้นมีหม้อขนาดใหญ่วางอยู่ และด้านบนสุดของหม้อนั้นมีลายเมฆและลายสัตว์มงคลสลักเอาไว้
และนักบวชชุดแดงได้ยืนประกบอยู่ทั้งสองด้านของแท่นนั้น ในมือของพวกเขานั้นมีเครื่องดนตรีนานาชนิด เช่นกลอง ขลุ่ยไม้ไผ่ ฆ้อง และขันทองเหลืองเป็นต้น
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นไปอีกก็คือภูเขาหิมะด้านหลังของวัดเฉินเมี่ยวนั่น
ภูเขาหิมะลูกนั้นอยู่ห่างจากวัดเฉินเมี่ยวราว 10 จั้ง เบื้องล่างนั้นมีหิมะที่ละลายแล้วก่อตัวเป็นธารน้ำแข็ง
เมื่อยืนอยู่ที่แห่งนี้ก็เหมือนกับว่าความอบอุ่นของแสงสุริยานั้นได้เหือดหายไป ต่อให้สวมชุดขนสัตว์หนาเพียงใด ความเย็นก็ยังคงทะลุทะลวงเข้ามาถึงกระดูกอยู่ดี
นักบวชชุดแดงผู้นั้นได้นำเหล่านักบวชชุดดำขึ้นมายังแท่นเช่นกัน นักบวชชุดดำท่านหนึ่งได้ยืนจุดกระดาษสีเหลืองทองอยู่ด้านหน้าหม้อขนาดใหญ่ แล้วนักบวชในชุดแดงก็ได้จุดธูป 2 ดอก และยื่นให้กับจักรพรรดิเหวินและฟู่เสี่ยวกวนในขณะที่กระดาษกำลังมอดไหม้”
“เริ่มพิธีกรรมบวงสรวงสู่สวรรค์ ! ”
เมื่อเสียงของนักบวชชุดแดงได้ดังขึ้น จักรพรรดิเหวินก็ทรงนำธูปของพระองค์ปักลงไปในกระถางธูปใหญ่ใบนั้น ฟู่เสี่ยวกวนเห็นเช่นนั้นก็เลยปฏิบัติตาม
ทันในนั้นเองก็ได้มีเสียงดนตรีศักดิ์สิทธิ์ดังขั้นมา มีเสียงฆ้องและกลองดังกึกก้อง ตามด้วยเสียงแซ่ซ้องของเครื่องดนตรีอื่น ๆ เสียงดนตรีได้ประสานกันจนเกิดเสียงดังสะท้อนไปทั่วทั้งช่องเขาแห่งนี้
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเป็นอย่างมาก แล้วแหงนหน้าขึ้นมองที่ภูเขาหิมะนั่นอีกครา รู้สึกเหมือนว่าจะได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา !
แต่ทว่าก็ดูเหมือนมิมีอะไรเกิดขึ้น
และจักรพรรดิเหวินตี้ก็ได้จูงมือฟู่เสี่ยวกวนเข้ามายังตำหนักเฉินเตี้ยน
ดวงไฟภายในตำหนักแห่งนี้ส่องประกายเจิดจ้า และด้านในนั้นมีรูปปั้นแกะสลักขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่
และนั้นคือรูปปั้นเทพฮ้าวเทียนที่ราชวงศ์อู๋ให้ความเคารพนับถือ ร่างใหญ่นั้นถูกประดับด้วยชุดสีทอง ในมือถือคัมภีร์แห่งสรวงสวรรค์เอาไว้ สีหน้าดูเคร่งขรึม ดวงตาทั้งคู่ลุกโชนดั่งดวงไฟและกำลังก้มมองผู้คนที่จะมาเคารพบูชา
ในห้องโถงขนาดกว้างขวางนี้ ได้มีนักบวชในชุดดำนับร้อยชีวิตกำลังบรรเลงทำนองแห่งสรวงสวรรค์ เสียงบรรเลงแสนอ้อยอิ่งได้ประสานเข้ากับควันธูปที่ลอยล่องไปทั่วทั้งห้องโถง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)