นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 516

ตอนที่ 516 ตัดไม้ข่มนาม

เมื่อเยียนเหลียงเจ๋อได้ทราบข่าวมาจากกรมพิธีการว่าถึงเวลาของการเจรจาแล้ว เขาก็ดีใจเสียจนหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

ให้ตายเถิด เหอะ ๆ ข้าเดินทางมาที่เมืองจินหลิงตั้งแต่วันที่สามเดือนสิบสองของปีก่อน รอจนวันที่เก้าเดือนหนึ่งของปีใหม่ เสียเงินมากถึง 400,000 ตำลึง ทั้งยังต้องสละชีวิตของหรงเอ๋อร์ ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็จัดการเจรจาเสียที !

บัดนี้ ไม่ว่าผลการเจรจาจะออกมาเยี่ยงไร ก็มิสำคัญสำหรับตนอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเดินทางกลับแคว้นอี๋โดยเร็วที่สุด

จากรายงานของสายลับ ตนได้เดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้ 3 เดือนแล้ว องค์ชายหกเยียนหานยวี่ ได้สร้างพรรคพวกขึ้นมาในวัง และทำตัววุ่นวายไปทั่ว ถึงกระทั่งทูลต่อเสด็จพ่อว่าองค์รัชทายาทเสด็จไปเจรจา ณ ราชวงศ์หยูแต่ไร้ความสามารถยิ่ง มิสมควรได้ครอบครองตำหนักบูรพา

ดูมันกระทำเข้า ! รอให้ข้ากลับแคว้นไปได้ก่อนเถอะ ข้าจะใช้ดาบบั่นคอเจ้าเป็นผู้แรก !

เยียนเหลียงเจ๋อสวมใส่ฉลองพระองค์สำหรับรัชทายาทเสียเต็มยศ จากนั้นก็ได้พาเปียนมู่หยูและขุนนางชั้นสูงขึ้นรถม้า เดินทางมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง

ณ ห้องประชุมใหญ่หงหลูซื่อ ฟู่เสี่ยวกวนได้นั่งอยู่ตรงกลางและกำลังสนทนาอยู่กับสวี่หวยซู่เสนาบดีกรมพิธีการที่นั่งอยู่ด้านข้าง

“ท่านลุงมิได้พบบุตรสาวมานานมากถึง 15 ปี ความคิดถึงของพ่อที่มีต่อบุตร ข้าเข้าใจดี ข้าได้ยินมาว่าที่จวนสวี่ช่างเงียบเหงายิ่ง มิครึกครื้นเท่ากับจวนฟู่ ข้าเองก็คิดเช่นนั้น จึงมีความคิดว่าให้นางพำนักที่จวนข้าไปสักพักก่อน ท่านมีความเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”

สวี่หวยซู่จ้องมองฟู่เสี่ยวกวน พลางคิดในใจว่า เจ้าหมอนี่ต้องการแม่นางผู้นั้นจึงหาเหตุผลบ้าบอขึ้นมาอ้าง

“ตอนนี้ พวกเราอยู่ในห้องประชุมควรสนทนาเรื่องงานก่อนจะดีกว่า เจ้าตั้งใจจะเจรจาเยี่ยงไร ? ”

ขุนนางในกรมพิธีการนับยี่สิบคนล้วนนั่งอยู่ข้างฟู่เสี่ยวกวน เมื่อได้ยินดังนั้นก็อดที่จะเงี่ยหูฟังมิได้

นับตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ใต้เท้าฟู่ยังมิเคยเอ่ยถึงแผนในการเจรจาให้ฟังเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเดินทางมาร่วมโดยมิรู้สิ่งใดเลย มิมีผู้ใดรู้ว่าใต้เท้าฟู่จะเจรจาแบบใด

คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะออกมา “ข้ายังยืนยันคำเดิมว่า ประเดี๋ยวข้าจะเป็นผู้เจรจาเอง พวกท่านเพียงแค่จดบันทึกก็พอแล้ว ระหว่างการเจรจา มิว่าข้าจะกระทำการใด พวกท่านสามารถแสดงท่าทางประหลาดใจได้ แต่ห้ามคัดค้านเป็นอันขาด”

เมื่อกล่าวจบ เขาก็หุบยิ้มลงแล้วมองไปยังเหล่าขุนนาง “หากผู้ใดกล้าลุกขึ้นมาตำหนิข้า ข้าจะถือว่ามันผู้นั้นเป็นกบฏต้องจัดการอย่างเด็ดขาด ! ”

เมื่อบรรดาขุนนางได้ยินดังนั้นต่างก็ชะงักไปตาม ๆ กัน เพียงแค่เจรจาเท่านั้นมิใช่หรือ เหตุใดต้องทำเหมือนเป็นการออกรบไปได้ ?

การเจรจาแบบนี้ ตามปกติจะต้องดำเนินการอยู่หลายครา จากธรรมเนียมเดิมที่ผ่านมา เนื้อหาของการเจรจาคราแรกนี้ ราชวงศ์หยูจะเปิดเผยจำนวนเงินที่ต้องชดใช้และแค้วนอี๋ก็จะต่อรอง หลังจากนั้นสองฝ่ายก็จะเจรจากันไปมาสักพักโดยมิมีผู้ใดยอมให้กับผู้ใด

ท้ายที่สุดก็จะมิได้ข้อสรุป ต้องรออย่างน้อยอีกสามคราถึงจะได้ข้อสรุปที่แน่ชัด

ใต้เท้าฟู่เพิ่งเคยเข้าร่วมการเจรจาเป็นคราแรก อีกทั้งยังอายุน้อย เกรงว่าจะมิอาจเก็บอารมณ์เอาไว้ได้

แต่ทว่าชื่อเสียงอันดุดันของอีกฝ่ายก็โด่งดังไปทั่ว เหล่าขุนนาง ณ ที่นี้ แม้แต่สวี่หวยซู่เองก็มิกล้าต่อกรกับฟู่เสี่ยวกวน

เช่นนั้น คงต้องนิ่งฟังตามที่เขากล่าว แท้จริงก็ง่ายดีเหมือนกัน ถือว่าได้นั่งชมการแสดง

เวลาต่อมา เยียนเหลียงเจ๋อและกลุ่มขุนนางก็ได้เข้ามาในห้องประชุม ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าแล้วลุกขึ้นไปต้อนรับด้วยตนเอง เขายกแขนโอบกอดเยียนเหลียงเจ๋อ ทั้งยังตบหลังเบา ๆ

“ท่านเยียน ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ! ตามหลักแล้ว ท่านอยู่ข้ามปีเก่าที่เมืองจินหลิง ข้าควรเดินทางไปร่วมดื่มกับท่านเสียหน่อย แต่ญาติของข้านั้นช่างมากมายเสียเหลือเกิน อีกทั้งข้ายังคออ่อน แม้ดื่มเพียงเล็กน้อยก็เมามายได้แล้ว จึงทำให้เวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ได้ ขออภัยด้วย ! ”

เหล่าขุนนางกรมพิธีการได้แต่มองตากัน…หมายความว่าเยี่ยงไร ? เหตุใดถึงได้แสดงท่าทางสนิทสนมกับฝ่ายตรงข้ามมากถึงเพียงนี้ ? นี่ถือเป็นมารยาทแบบไหนกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนเมินเฉยต่อฝ่ายตรงข้ามมานานกว่าหนึ่งเดือน เกรงว่าองค์รัชทายาทคงจะไม่ถีบเขาคืนจนกระเด็น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)