ตอนที่ 643 เศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง
“หยูเวิ่นชูมาถึงเมืองหลวงแล้วเพคะ”
“เขาอยู่ที่ใด ? ”
“หงซิ่วจาวเพคะ”
ฮ่องเต้ชะงักนิ่งค้าง ส่งผลให้พระหัตถ์ของฮองเฮาซั่งที่กำลังช่วยปลดฉลองพระองค์ก็หยุดชะงักลงเช่นกัน
“ฟู่เสี่ยวกวนไปพบเขาแล้ว ฝ่าบาทประสงค์จะเสด็จไปหรือไม่เพคะ ? ”
ฮ่องเต้เงียบลงชั่วครู่แล้วส่ายพระพักตร์ “นอนเถิด พรุ่งนี้ค่อยไป”
“เพคะ”
“ส่งคนออกไปเพิ่ม ข้าต้องการจับตาดูเขาและอย่าให้เขาปลิดชีพตนเองเป็นอันขาด”
ฮ่องเต้มิได้เข้าบรรทม ตรงกันข้ามยังสวมใส่ฉลองพระองค์อยู่ จากนั้นก็เสด็จออกมาจนถึงลานหน้าพระตำหนัก
ดวงดาราบนท้องนภาเริ่มดับแสงลงราวกับมีเมฆดำมาบดบัง
ฮองเฮาซั่งยืนถือตะเกียงอยู่ด้านหลังอย่างเงียบ ๆ ทันใดนั้นก็ตรัสขึ้นว่า “ฝ่าบาท ในตอนนี้ที่วังหลังนอกจากวังเตี๋ยอี๋และตำหนักหนิงเซียงของพระสนมหนิงแล้ว อีกหลายตำหนักที่เหลือล้วนเป็นตำหนักว่างเปล่าที่แสนรกร้าง… เช่นนั้นให้อภัยพระสนมอันเถิดเพคะ เพราะในใจของหม่อมฉันค่อนข้างรู้สึกเศร้าอยู่เล็กน้อยเพคะ”
ฝ่าบาทเงยพระพักตร์แล้วทอดพระเนตรไปบนท้องนภา ผ่านไปเนิ่นนานจึงตรัสออกมาว่า “ที่วังหลังของอู๋ต้าหลางก็ว่างเปล่าเช่นกัน”
“เขามีฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ข้าเองก็ยังมีโอรสเยี่ยงหยูเวิ่นเต้า เมื่อสิบสามปีก่อนไทเฮาซีได้ก่อเหตุขึ้นที่ทะเลสาบสือหลี่ และได้กวาดล้างสายเลือดของตระกูลอู๋เสียจนสิ้น เหลือเพียงจักรพรรดิเหวินไว้แต่เพียงผู้เดียว ส่วนอู๋ต้าหลางกลับอาศัยโอกาสนี้หลบหนีไป”
“ตั้งแต่นั้นมาจักรพรรดิเหวินก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์แห่งราชวงศ์อู๋อย่างมั่นคงและมิเกิดปัญหาภายในขึ้นมาอีก ทว่าประจวบเหมาะกับการที่อู๋ต้าหลางเป็นคนสบาย ๆ เมื่อสองพี่น้องได้พบกันที่จินหลิงจึงยังสนิทสนมชิดเชื้อกันอยู่ดังเดิม ดังนั้นข้ามักจะครุ่นคิดอยู่เสมอว่า ผู้คนกล่าวว่าเชื้อสายราชวงศ์นั้นไร้ความรู้สึกที่สุด แต่เหตุใดสองพี่น้องตระกูลอู๋จึงยังสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้เล่า ?
บัลลังก์มังกรมีเพียงหนึ่ง ทว่ามังกรมิได้มีเพียงหนึ่งเดียว”
ฮ่องเต้ดึงสายพระเนตรออกจากท้องนภา แล้วทอดพระเนตรตรงไปยังที่ห่างไกล “บางทีข้าอาจจะทำพลาดไป เพราะเดิมข้าตั้งใจให้พวกเขาทั้งสามแข่งขันกันด้วยความสามารถของตนเอง แต่คาดมิถึงว่าจะปะทะกันจนก่อให้เกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้”
“หยูเวิ่นเทียนก่อกบฏในสุสานจักรพรรดิ ข้าสังหารเขามิได้จึงได้สอนบทเรียนให้เขาได้รับรู้ ดังนั้นจึงประทานยศให้หยูเวิ่นชูเป็นจิ่นชินอ๋องแล้วส่งไปยังซีหรงเสีย ที่คิดไว้คือให้เขาออกห่างจากศูนย์กลางอำนาจอย่างจินหลิงเพื่อไปขัดเกลาตนเองที่ซีหรง เพื่อชำระจิตใจที่ร้อนรนนั่นเสีย…”
ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัยยาว “แต่คาดมิถึงเลยว่า… เขาจะร้อนรนยิ่งกว่าในอดีตเสียอีก”
“ในยามนี้ข้ากำลังคิดอยู่ว่าเหตุใดพวกเขาถึงมิเข้าใจพระประสงค์ของข้า พวกเขามิเพียงมิสามารถช่วยข้าปกครองใต้หล้านี้ได้เท่านั้น พวกเขายังก่อความวุ่นวายต่อใต้หล้าอีก แล้วข้า… จะสามารถให้อภัยพวกเขาได้เยี่ยงไร ? ”
“บุตรชายเยี่ยงนี้ให้เกิดมาหลายคนแล้วจะมีประโยชน์อันใดกัน ? ”
“ยิ่งไปกว่านั้นยังมอบปัญหาให้ข้าเพิ่มขึ้นไปอีก”
“ถึงแม้จักรพรรดิเหวินจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ก็ได้ให้กำเนิดบุตรชั้นดี ถึงแม้จักรพรรดิอู๋จะเกียจคร้านแต่ทว่าก็ได้อบรมจนสร้างบุตรที่ดีมา 1 คน”
ฮ่องเต้ถอนหายใจจนพระพัตร์เปลี่ยนสี พระองค์นำโอรสทั้งสามมาเปรียบเทียบกับฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในใจ เมื่อเทียบกันแล้วพบว่าในสามคนนั้นมิมีผู้ใดเทียบได้แม้แต่ผู้เดียว จึงทำให้พระองค์สิ้นหวังเป็นอย่างมาก
ฮองเฮาซั่งนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะแย้มพระสรวลออกมา “หม่อมฉันกลับรู้สึกว่ามิใช่เยี่ยงนั้นเพคะ เสี่ยวกวนเป็นราชบุตรเขยของฝ่าบาทก็ถือว่าเป็นบุตรชายครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้…หากฟ้ามิให้กำเนิดฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมา ผู้คนคงตกอยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาล ใต้หล้านี้มีฟู่เสี่ยวกวนเพียงคนเดียว แล้วจะนำโอรสทั้งสามไปเปรียบเทียบกับเขาเนื่องด้วยเหตุอันใดกันเพคะ ? ”
ผ่านไปชั่วครู่ฮองเฮาซั่งก็เอ่ยต่ออีกว่า “ฝ่าบาทควรคิดเยี่ยงนี้เพคะ บุตรชายที่จักรพรรดิเหวินให้กำเนิดคือบุตรชายที่จักรพรรดิอู๋เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ตอนนี้กลับมาอยู่ที่ราชวงศ์หยูเพื่อเป็นกำลังให้แก่ฝ่าบาท นี่เป็นโชคดีของฝ่าบาทมิใช่หรือเพคะ ? นี่ถือเป็นโชคดีของราษฎรแห่งราชวงศ์หยูมิใช่หรือเพคะ ? ”
ด้วยคำปลอบประโลมนี้ส่งผลให้สภาพจิตใจของฮ่องเต้ดีขึ้นมา พระองค์แย้มพระสรวลแล้วตรัสเสียงดังลั่น “เจ้ากล่าวได้สมเหตุสมผล ครานี้อู๋ต้าหลางพ่ายแพ้ให้แก่ข้าแล้ว พอคิดไปคิดมาเขาคงลำบากเสียยิ่งกว่าข้าอีก ! ”
……
……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)