ตอนที่ 754 กลศึกครั้งใหญ่ ( 2 )
ชายสูงวัยทั้งสามคนพากันยืนมองแผนที่
หนานกงอี้หยู่ถือไม้เล็กเรียวท่อนหนึ่ง แล้วชี้ไปยังแผนที่นั้นพร้อมเอ่ยขึ้นมาว่า
“องค์ชายมิได้อธิบายถึงกลศึกสงครามอย่างชัดเจน แต่ทว่าในเมื่อองค์ชายได้ตรัสเกี่ยวกับด่านฉีหวิน เช่นนั้นทหารดาบเทวะกองทัพที่สองย่อมต้องผ่านด่านฉีหวินอย่างแน่นอน
องค์ชายได้ทูลฝ่าบาทว่าให้ส่งกำลังเสริมจำนวน 200,000 นายไปให้ แต่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงมิใช่เพื่อการทำสงคราม แต่ทว่าเพื่อจัดการกับอาวุธที่เหลืออยู่ของแคว้นอี๋และเข้ายึดครองพื้นที่ในแถบนั้นตลอดเส้นทาง นั่นหมายความว่าองค์ชายจะใช้ทหารดาบเทวะกองทัพที่สองเป็นกำลังหลักเพื่อบุกเข้าไปด้านใน”
หนานกงอี้หยู่หยุดลงชั่วครู่ กลืนน้ำลายลงคอแล้วเอ่ยต่อว่า “ทูลฝ่าบาท รีบมีพระบัญชาให้โจวถงถงเข้าเฝ้าและรีบรับสั่งให้หอเทียนจีของเขาติดตามความเคลื่อนไหวของทหารดาบเทวะกองทัพที่สองอย่างเร่งด่วนด้วยพ่ะย่ะค่ะ
ฝ่าบาทต้องระดมกำลังทหาร 200,000 นายจากกองกำลังป้องกันทางตะวันตกเฉียงเหนือไปยังเมืองฉีหวินของราชวงศ์อู๋ และทันทีที่ได้รับข่าวจากซานยิงจี๋แคว้นอี๋ ทหารทั้งหมดต้องออกจากด่านฉีหวินเพื่อเข้ายึดครองซานยิงจี๋ หลังจากนั้นก็ให้ติดตามทหารดาบเทวะกองทัพที่สองต่อไป ! ”
จัวอี้สิงฟังอย่างตั้งใจแล้วพยักหน้าตอบรับ “อืม… ที่ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวมาก็สมเหตุสมผลยิ่ง องค์ชายตรัสว่านี่มิใช่การเจรจาแต่เป็นการพิชิต… ทหารดาบเทวะกองทัพที่สองต้องการบุกเข้าไปในแคว้นอี๋ พวกเขาย่อมมิหยุดอยู่กับที่ใดที่หนึ่ง ดังนั้นทหารจากกองกำลังป้องกันทางตะวันตกเฉียงเหนือจะต้องเข้าช่วยทหารดาบเทวะกองทัพที่สองเป็นการปิดท้าย…
เพียงแต่การปิดท้ายนี้เกรงว่าจะมิใช่งานสบาย ๆ เนื่องจากนี่คือการยึดครอง ดังนั้นต้องคำนึงถึงการปกครองหลังสงครามสิ้นสุดลงด้วย เหล่าทหารจะฆ่าฟันผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจมิได้ อีกทั้งการเผา สังหารหรือปล้นสะดมก็มิได้เช่นกัน เช่นนั้นต้องทำลายเมืองให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“แม่ทัพที่เดินทางไปในครานี้ ควรเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด”
ฟู่ต้ากวนเบิกตาโพลง จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหันไปกำชับขันทีข้างกายว่าให้ไปนำตัวโจวถงถงมาโดยด่วน จากนั้นก็หันกลับมาตรัสว่า
“พวกเจ้ายังมิได้บอกข้าเลยว่าเจ้าหมอนี่ต้องการทำอันใดกันแน่ ? เขาเป็นเต้าถายอยู่ที่ว่อเฟิงเต้าดี ๆ มิชอบ เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้ด้วยกัน… เขากำลังวางแผนอันใดอยู่กันแน่ ? ”
“ทูลฝ่าบาท ความคิดขององค์ชายนั้นพวกกระหม่อมมิอาจหยั่งรู้ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบเพียงแค่ว่าหากแผนการทำสงครามในครานี้สำเร็จ ราชวงศ์อู๋ก็จะได้ยึดครองอาณาจักรอันกว้างใหญ่ของแคว้นอี๋ ! ”
หนานกงอี้หยู่ยกมือซ้ายขึ้นลูบเครายาว ส่วนมือขวาถือไม้ยาวแล้วลากเป็นวงกลมไปบนแผนที่ของแคว้นอี๋แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฝ่าบาท เพียงแค่หกรัฐทางตะวันตกเฉียงใต้นี้ หากราชวงศ์อู๋ได้มาครอบครอง…ถือเป็นการตัดแขนขวาของแคว้นอี๋เลยก็ว่าได้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่ต้ากวนเบิกตากว้างพลางจ้องมองหนานกงอี้หยู่แล้วตรัสว่า “แต่พื้นที่อันกว้างใหญ่ของแคว้นฮวง เขากลับยกให้ราชวงศ์หยู ! ”
จัวอี้สิงหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย “ฝ่าบาท นี่ถือว่าเป็นการกระทำอันชาญฉลาดขององค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ชาญฉลาดอันใดกันเล่า ! เขาเพียงแค่ต้องการเอาใจพ่อตาเท่านั้นมิใช่หรือ ? ” ฟู่ต้ากวนนั่งลง จากนั้นอัครมหาเสนาบดีทั้งฝ่ายซ้ายและขวาถึงได้นั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา
จัวอี้สิงส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แคว้นฮวงอาจจะกว้างขวางก็จริง แต่ที่แห่งนั้นโดยมากเป็นคนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์อยู่ตามทุ่งหญ้า ปัจจุบันประชากรของราชวงศ์หยูมีมิถึง 100 ล้านคนด้วยซ้ำ ฮ่องเต้จะให้ราษฎรอพยพไปยังแคว้นฮวงได้ซักกี่คนกันพ่ะย่ะค่ะ ?
การที่องค์ชายโจมตีแคว้นฮวงก็คือการเข้าโจมตีเพียงทหารของแคว้นฮวง ในขณะเดียวกันก็จะทิ้งราษฎรหลายสิบล้านคนเอาไว้ให้ฮ่องเต้ หากอพยพคนในราชวงศ์หยูไปเพียงมิกี่คนแล้วจะสามารถเหนือกว่าชาวฮวงดั้งเดิมได้เยี่ยงไร ? แต่หากอพยพคนในราชวงศ์หยูไปมากเกินก็จะทำให้อีก 13 มณฑลที่เหลือมิสามารถพัฒนาได้เยี่ยงว่อเฟิงเต้า เนื่องจากจำนวนประชากรมิมากพอ”
เมื่อฟู่ต้ากวนเมื่อได้ยินดังนั้นก็อ้าปากค้าง เขาเข้าใจในความหมายที่จัวอี้สิงอธิบายอย่างถ่องแท้แล้ว…
ฮ่องเต้คงกระหายอาณาเขตกว้างใหญ่ของแคว้นฮวงเป็นแน่ แต่ทว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอันใหญ่หลวง ซึ่งนั่นก็คือการปกครอง !
เขาจะต้องวางกองกำลังทหารจำนวนหนึ่งในแคว้นฮวง เพราะชาวฮวงแตกต่างจากทั้งสี่แคว้นเนื่องจากพวกเขามิเคยได้ศึกษาตำราขงจื้อมาก่อน พวกเขาจึงมิมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของมารยาทซึ่งจะทำให้ควบคุมยากยิ่งกว่าชาวอี๋ที่ว่อเฟิงเต้าเสียอีก
เรื่องของความแตกต่างทางวัฒนธรรม จะทำให้ฮ่องเต้ตกอยู่ในสภาวะกลัดกลุ้ม
“ดังนั้น… นี่จึงเปรียบได้กับโครงไก่ใช่หรือไม่ ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)