คุกเข่าหนึ่งชั่วยาม?
ซูเมิ่งเยียนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ จ้องมองไปที่มู่เสี่ยวอย่างแน่วแน่
แม้แต่ท่านพ่อของนางก็ไม่เคยลงโทษแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะลงโทษนางอย่างง่ายดายเพียงเพื่อให้ฮัวหย้วนพอใจ?
แต่ไม่ว่าสายตาของนางจะเป็นเช่นไรนั้น มู่เสี่ยวก็ไม่เคยมองนางเลย
“ตุ้บ...”
ฮัวหย้วนยิ้มอย่างมีความสุขมาก "ข้าก็ว่าเหตุใดแม่นางซูวันนี้ถึงไม่ค่อยมีชีวิตชีวา เพราะปกติเจ้าใจร้ายกับนางมากเกินไปนี่เอง ถูกเจ้าควบคุมจนนิสัยของนางเปลี่ยนไป"
พูดไป นางก็พลางลุกขึ้นและเดินไปที่ซูเมิ่งเยียน ยกมือขึ้นเชิดคางนางขึ้น "มองนัยน์ตาที่น่าสงสารคู่นี้สิ จะให้ข้าลงโทษนางอย่างโหดร้ายได้อย่างไร?"
ซูเมิ่งเยียนขมวดคิ้ว สายตาของมู่เสี่ยวที่อยู่ด้านข้างก็หันมามองเธอ
ฮัวหย้วนกล่าวว่า "ถ้ากำไลแตกก็แตกไปเถอะ คุณูปการที่แม่นางซูส่งข้าเข้าวัง ข้าจะตอบแทนพระคุณด้วยการล้างแค้นได้อย่างไร?"
คำพูดเหล่านี้ ทำให้ดวงตาของมู่เสี่ยวเย็นชา
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่กุ้ยเฟยมิเอาเรื่องหม่อมฉัน” ซูเมิ่งเยียนก้มหน้าลงและกล่าวขอบคุณ โดยไม่มองมู่เสี่ยวแม้แต่หางตา
ฮัวหย้วนหันกลับมา พร้อมนั่งลงบนที่นั่ง "แม่นางซูคงเหนื่อยหลังจากยืนมานาน นั่งลงเถอะ"
ซูเมิ่งเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง "เป็นพระมหากรุณาธิคุณ"
พูดจบ นางก็กำลังจะนั่งลง ทว่าเก้าอี้ไม้ที่อยู่ข้างหลังนางไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้ขยับไปข้างหลังเล็กน้อย นางไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ ร่างกายจึงเสียการทรงตัวและล้มลงไปข้างหลัง
บังเอิญมีชั้นไม้อยู่ข้างหลังนางพอดี บนชั้นวางนั้นมีแจกันลายครามดอกไม้ล้ำค่าตั้งวางอยู่
และศีรษะด้านหลังของซูเมิ่งเยียน ก็กระแทกกับแจกันลายครามดอกไม้เข้าอย่างจัง!
ณ ขณะนั้นเอง มีเงาสีขาวบินผ่านมาและรีบเอื้อมมือไปปกป้องเครื่องลายครามดอกไม้ในมือ
ซูเมิ่งเยียนโขกกับบนชั้นไม้ จนเจ็บที่ศีรษะด้านหลัง
นางหลับตาปี๋ กว่าจะได้สติอยู่ถึงจะยกมือขึ้นแตะศีรษะที่เจ็บปวด
จริง ๆ เลย...
ความจริงใจเมื่อชาติที่แล้วเสียเปล่าๆ
“แม่นางซู เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” ฮัวหย้วนยืนขึ้นมอง คำพูดของนางเต็มไปด้วยความกังวล
หากไม่ใช่ซูเมิ่งเยียนมีความสัมพันธ์กับนางมาก่อนหน้านี้ เกรงว่าคงมองไม่ออกเลยตอนนี้ผู้หญิงคนนี้วางแผนจงใจให้นางล้ม
ด้านข้าง มู่เสี่ยวถือแจกันในมือ มองลงไปที่ผู้หญิงบนพื้น
ถ้าเป็นปกติ เกรงว่านางคงส่งเสียงดังและตั้งคำถามไปนานแล้ว แต่ทว่าตอนนี้ นางกลับเงียบ
“ขอบคุณที่พระสนมเอกเป็นห่วง หม่อมฉันสบายดี” ซูเมิ่งเยียนทนต่อความเจ็บปวดและลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่สงบ
เมื่อเงยหน้าขึ้น นางเห็นความผ่อนคลายในดวงตาของฮัวหย้วนได้อย่างชัดเจน
เพราะว่ามู่เสี่ยวยอมที่จะเก็บแจกันลายครามดอกไม้ไว้ ไม่ได้ตั้งใจเพื่อช่วยคู่หมั้นอย่างนาง แล้วฮัวหย้วนจะต้องกังวลอะไรอีก?
ในเวลาเดียวกัน นางยังเห็นได้ชัดเจนว่าชาติที่แล้วตัวเองโง่เขลาและไร้สาระเพียงใด
แม้แต่จะแข่งขันกับแจกันยังสู้ไม่ได้ ยังต้องการที่จะแข่งขันกับฮัวหย้วนที่มีชีวิตได้อีกหรือ?
เป็นความคิดที่โง่เขลานัก!
“ข้าดูท่าทางของแม่นางซูแบบนี้ ไม่เหมือนไม่เป็นอะไรนะ” ฮัวหย้วนพูดอย่างจริงใจ
ซูเมิ่งเยียนยิ้ม "กุ้ยเฟยทรงละเอียดยิ่งนัก หม่อมฉันรู้สึกไม่สบายจริง ๆ "
ฮัวหย้วนกล่าวว่า"ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แม่นางซูก็กลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ"
"เป็นพระมหากรุณาธคุณเพคะ" ซูเมิ่งเยียนหันกลับมาและเห็นมู่เสี่ยววางเจกันลายครามดอกไม้บนชั้นวาง ในใจยิ้มด้วความเย็นชา พร้อมเดินจากไป
ฮัวหย้วนมองดูการจากไปของซูเมิ่งเยียนเป็นเวลานาน จึงพูดว่า "อามู่ ข้าน่ารังเกียจและไร้ยางอายใช่หรือไม่?"
มู่เสี่ยวชะงัก “ไม่นี่”
“ตอนที่ฉันเล่นลูกไม้กับผู้หญิงพวกนั้นในวัง มักทำได้ดีเสมอ แต่ต่อหน้าเจ้า มันกลับเต็มไปด้วยช่องโหว่”
ซูเมิ่งเยียนไม่ได้สนใจสายตาของเขา มือยังคงถูหลังศีรษะที่เจ็บปวดของนาง
มู่เสี่ยวสังเกตเห็นท่าทางของนาง คิ้วของเขาขมวดแน่น และดวงตาของเขาก็ไม่เย็นชา
“ท่านอ๋อง ข้าเพิ่งเข้าใจในตอนนี้”
ซูเมิ่งเยียนไม่ทันได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในดวงตาของเขา เพียงแค่ก้าวไปข้างหน้าและกระซิบด้วยเสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน "มิน่าหล่ะที่เจ้าหมกมุ่นอยู่กับตำแหน่งนั้นมาก เป็นเพราะนางใช่หรือไม่?"
ทันทีที่พูดจบ นางก็รู้สึกว่าข้อมือของตัวเองถูกคว้าไว้ทันที
มู่เสี่ยวจับข้อมือของนางไว้แน่น ดึงนางเข้ามาหาเขา และเกือบจะเอาแขนแนบหูของนาง "เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดคำพูดกบฏออกมา?"
สายตาของซูเมิ่งเยียนสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความกลัว และดวงตาก็เต็มไปด้วยการเสียดสี
ในชาติที่แล้ว คิดว่ามู่เสี่ยวโลภอยากได้บัลลังก์ เพียงเพราะอำนาจ
ฝ่าบาทในชาติที่แล้วป่วยหนัก ในฐานะที่เป็นองค์ชาย หลังเข้าเข้าร่วมในการดูแลประเทศ พวกเขาสองคนก็ตัดขาดกัน
ซูเมิ่งเยียนอาศัยอยู่ในหลิงหย้วนของจวนอ๋อง มีอยู่วันหนึ่งมู่เสี่ยวมาหาและเยาะเย้ยนาง "ถ้าข้าได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูง เจ้าก็ได้เปรียบดี"
ในเวลานั้นนางไม่ได้คิดเกี่ยวกับคำพูดเหล่านี้อย่างละเอียด คิดเพียงว่าการที่เขามาแค่เพื่อระบาย แต่ตอนนี้เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ตระหนักได้ทันที แต่มู่เสี่ยวมีความสามารถที่จะเป็นฮ่องเต้ได้ แต่เขาไม่ทำ คงเพราะเขาไม่ต้องการปล่อยให้นางเป็นฮองเฮา
เมื่อเอามารวมกับปัจจุบัน นางถึงได้เข้าใจว่า ตอนที่นางตายไม่เห็นมู่เสี่ยวได้ขึ้นบัลลังก์นั้น หนึ่งคือแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ฮ่องเต้ในเวลานั้น แต่เขาก็คว้าอำนาจทุกอย่างไว้แล้ว ส่วนฮัวหย้วนก็เป็นของเขาแล้ว สองคือเขายืนขวางทางที่จะทำให้ฮัวหย้วนเป็นฮองเฮา เขาจะไม่ปล่อยให้นางต้องเสียเปรียบแน่
หลังจากที่นางเสียชีวิต เขาคงสถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้โดยเร็ว
ความเจ็บปวดที่ข้อมือเริ่มเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงดึงความคิดของซูเมิ่งเยียนกลับมา
"ท่านไม่จำเป็นต้องปิดบังข้าเลย" นางมองดูชายผู้มีคิ้วเย็นชาตรงหน้าเป็นเวลานาน แล้วพูดเบา ๆ เหมือนให้กำลังใจคนรัก "ท่านอ๋อง ไม่ต้องกลัว ท่านจะทำสำเร็จ"
มู่เสี่ยวขมวดคิ้ว
ทว่าซูเมิ่งเยียนยิ้มอย่างสดใสยิ่งขึ้น "เหตุผลที่ท่านอ๋องไม่อยากถอนหมั้น ก็เพราะว่าการแต่งงานครั้งนี้ทุกเรื่องเกี่ยวข้องกับกุ้ยเฟย ใช่ไหม"
มู่เสี่ยวยังคงเงียบไม่พูดอะไร ซูเมิ่งเยียนก็ถือว่าเขายอมรับแล้ว
ซูเมิ่งเยียนยักไหล่อย่างเฉยเมย "ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรามาปล่อยให้การแต่งงานครั้งนี้จบลง แล้วมาดูกันว่าใครในพวกเราต้องทนทุกข์ทรมานเพราะการแต่งงานครั้งนี้ที่ไม่ควรเกิดขึ้น"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ สนุกมากอยากอ่านต่อ...
อัพต่อหน่อยจ้าา...
อัพต่อด้วยค่ะ อยากอ่านต่อ...
อัพอีกหน่อยค่า อยากอ่านต่อ...
4/4/2567 ใครช่วยตอบที ไม่อัพตอนเพิ่มแล้วใช่ไหมค่ะ.... อยากอ่านต่ออะ 😢😢😢...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ หายไปเลย รออยู่นะคะ...
ไม่อัพแล้วหรอครับ...