อีกสองวันต่อมา ท้องฟ้าเปลี่ยนสี กำลังจะเข้าสู่พลบค่ำ
ซูเมิ่งเยียนสั่งชิวซวงออกจากห้อง และนั่งเงียบ ๆ ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งคนเดียว
ผู้หญิงในกระจกสีบรอนซ์ไม่มีสีหน้าซีดอีกต่อไป แก้มของนางยังคงเป็นสีชมพูอ่อนๆ ตามที่หมอบอกว่า อาการบาดเจ็บของนางกำลังฟื้นตัวได้ดีและภายในไม่กี่วันนางก็คงจะเป็นปกติแล้ว
นางยื่นมือออก ค่อย ๆ จับปิ่นมุกด้านข้าง ปลายปิ่นมุกคมมาก นางเอื้อมมือไปจับมัน แล้วค่อยๆ วางไว้บนเทียนเพื่อเผา
เมื่อรอให้ปิ่นมุกหายร้อน นางถลกเสื้อจนถึงหัวไหล่ มองดูบาดแผลที่ตกสะเก็ดอย่างเห็นได้ชัด
นางต้องบ้าไปแล้วเป็นแน่
ซูเมิ่งเยียนคิดอย่างเงียบ ๆ
อย่างไรก็ตาม นางยอมบ้ามากกว่าทำผิดซ้ำซากเหมือนชาติที่แล้ว
จึงหยิบปิ่นมุกเทียบตำแหน่งของบาดแผล สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วออกแรงที่มือ จากนั้นใช้ปิ่นมุกแทงทะลุสะเก็ดแผล ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
ซูเมิ่งเยียนอดไม่ได้ที่จะคำรามออกมา บาดแผลยังไม่หายดี ตอนนี้นางถูกแทงแบบนี้อีกครั้ง ทำให้หัวไหล่ของนางนั้นเจ็บมากยิ่งขึ้นไปอีก นางขมวดคิ้วพร้อมกับยื่นมือออกไปเพื่อเอาปิ่นมุกใส่ลงในกล่องใส่เครื่องประดับ
คาดไม่ถึงเลยมีอาการปวดเสียดเมื่อออกแรงบีบที่หัวไหล่ จากนั้นกล่องใส่เครื่องประดับก็หล่นจากมือไปที่โต๊ะ ทำให้เกิดเสียงดัง
"คุณหนู เป็นอะไรไปเจ้าคะ?" เสียงของชิวซวงดังมาจากนอกประตูทันที ด้วยความเป็นห่วง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่รีบร้อน
"ไม่เป็นไร..." ซูเมิ่งเยียนกำลังจะตอบ
ทว่าชิวซวงกลับเปิดประตูและเดินเข้าไป นางเหลือบเห็นเครื่องประดับที่กระจายอยู่เต็มโต๊ะ จึงอึ้งไปชั่วขณะ "คุณหนู คุณกำลังทำอะไร..." แต่เมื่อนางเห็นไหล่ของซูเมิ่งเยียน ดวงตาก็แข็งค้าง ตามด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย "แผลของท่านมีเลือดออกอีกแล้ว คุณหนู ข้าจะไปตามท่านหมอมา..."
หลังจากพูดจบก็วิ่งออกไปที่ประตูอีกครั้ง
ซูเมิ่งเยียนมองไปที่ร่างอันกระสับกระส่ายของชิวซวง จึงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ อาจเป็นเพราะนางปลอปล่อยอย่างตั้งใจ นิสัยของชิวซวงจึงตรงไปตรงมามากขึ้น
ท่านหมอมาเร็วมาก อีกทั้งยังถูกชิวซวงกึ่งลากกึ่งดึงให้เดินไปทางนี้พร้อมกับกล่องยาที่อยู่บนหลังของเขา
เมื่อเขาเห็นว่าซูเมิ่งเยียนถูกปิดด้วยผ้าไหม เผยบาดแผลที่ไหล่ออกมาเท่านั้น ท่านหมอเองก็ตกใจเช่นกัน "หวางเฟย แผลนี้..."
ซูเมิ่งเยียนหลุบตาลงโดยไม่ได้ตั้งใจ "ตอนที่ข้ายกมือขึ้นเพื่อจะหยิบเครื่องประดับตอนนี้ เผลอไปแตะที่บาดแผล และทันใดนั้นก็มีอาการปวดอย่างรุนแรง..."
หมอลูบเคราและพยักหน้า "อาการบาดเจ็บของหวางเฟยยังไม่หายดี ควรพักฟื้นจะดีกว่า..." เขาพูดวิธีรักษาสุขภาพ สั่งยาบางอย่างพร้อมจากไป
การชาวท่านหมอมาไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของซูเมิ่งเยียน หลังจากเห็นชิวซวงส่งท่านหมอออกไป นางก็พูดสิ่งต้องการพูดออกมา "ชิวซวง แผลของข้ายังเจ็บอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าคืนนี้จะเป็นไข้ คืนนี้เจ้าพักที่ด้านนอกเถอะ...ข้าเกรงว่าจะไม่สบายอีก..."
คืนที่มีไข้เป็นวันที่สามหลังจากที่นางถูกแทง นางมีไข้สูงตัวร้อนผ่าวไปหมด และสติก็พร่ามัวเล็กน้อย ชิวซวงที่กระวนกระวายใจถืออ่างน้ำแข็งมาเช็ดหน้าผากของนางทั้งกลางวันและกลางคืน
ชิวซวงก็ยังจำวันนั้นได้ และพยักหน้าด้วยความกลัว "ได้เจ้าค่ะ..." เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ นางก็เหมือนนึกอะไรได้บางอย่าง "คุณหนู ท่านอ๋องจะมาค้างคืนไม่ใช่หรือ?"
"ร่างกายของข้าแบบนี้ ข้าจะให้เขาอยู่ได้อย่างไร?" ซูเมิ่งเยียนงยหน้าขึ้น นี่เป็นเป้าหมายในวันนี้ของนาง
"ท่านอ๋องทางนั้น... " ชิวซวงยังคงกังวลเล็กน้อย
"เจ้าไปบอกเขาเถอะสักหน่อย" ซูเมิ่งเยียนหยุดชั่วคราว “อย่าพูดว่าอาการข้าแย่ลง ไม่สะดวกที่จะต้อนรับเขา พูดแค่เพียงว่า 'ข้ารู้สึกสุขภาพไม่ค่อยดี ท่านอ๋องหากเป็นห่วงข้า โปรดเข้ามาเยี่ยมข้า'"
"คุณหนูบอกว่าไม่สะดวกที่จะให้ท่านอ๋องอยู่ต่อ?" ชิวซวงงงงวย
"บอกตามที่ข้าสั่งเจ้า" ซูเมิ่งเยียนสั่ง
นางรู้จักมู่เสี่ยวดี ถ้านางพูดว่า "ไม่สะดวกที่จะต้อนรับเขาเพราะบาดแผลกำเริบ" เขาคงคิดว่าเป็นกลอุบายของนาง อีกทั้งจงใจที่จะมาเปิดโปงอุบายของนางด้วย
แต่ถ้าเขาพูดว่า "อยากให้เขาเยี่ยมนางเพราะร่างกายไม่สบาย" เขาคงไม่สนใจนางเป็นแน่ แล้วเขาจะมาเยี่ยมนางได้อย่างไร?
แน่นอน หลังจากจุดธูปได้ประมาณหนึ่งก้านชิวซวงก็กลับมา ส่วนซวนหยวนและคนรับใช้สองสามคนที่อยู่ข้างหลังก็มากับนางด้วย พวกเขาถือกล่องสีแดงไว้ในมือ ดูมีความเคารพ
ชิวซวงยืนอยู่ข้างนางด้วยความน้อยใจ เนื่องจากมีบุคคลภายนอกเข้ามา นางจึงกล่าวว่า "คุณหนู ท่านอ๋องบอกว่าเขายังมีธุระต้องทำ ดังนั้นคืนนี้เขาจะไม่มาเยี่ยม"
ซูเมิ่งเยียนคาดหวังผลลัพธ์นี้ไว้แล้ว ไม่เคยแปลกใจเลย แต่นางแค่อยากรู้ว่าซวนหยวนและคนรับใช้เหล่านั้นมาทำอะไรที่นี่
"คำนับหวางเฟย" ซวนหยวนกำกำปั้น หันศีรษะและพยักหน้าให้คนรับใช้เหล่านั้น และคนรับใช้เหล่านั้นรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับวางกล่องทั้งหมดในมือลงบนโต๊ะหน้าซูเมิ่งเยียน
"ท่านอ๋องทรงเป็นกังวลมากเมื่อได้ข่าวว่าหวางเฟยไม่สบาย จึงสั่งให้ลูกน้องไปที่โกดังเพื่อนำโสมและเขากวางซึ่งเป็นยาบำรุงชั้นดีมาถวายหวางเฟย"
ซูเมิ่งเยียนเหลือบมองไปที่กล่องเหล่านั้นบนโต๊ะ พวกมันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมาก แต่มู่เสี่ยวห่วงใยนาง? คำพูดนี้ไม่ต้องพูดถึงปัจจุบัน แม้แต่ในชาติที่แล้วนางก็ไม่เชื่อ
"ขอบคุณท่านอ๋องแทนข้าด้วย" ซูเมิ่งเยียนฝืนยิ้ม ใบหน้าของนางซีดลง
ความซีดเซียวนี้ไม่ใช่การกระทำที่เสแสร้ง บาดแผลบนไหล่ของนาง เจ็บปวดมากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว
ซวนหยวนรู้จักผู้คนดีเสมอมา และเมื่อเขาเห็นเช่นนี้จึงรู้ว่านางไม่ค่อยสบาย ดังนั้นเขาจึงโค้งคำนับทำความเคารพ จากนั้นหันหลังและจากไป
ในห้องตำรา ณ เรือนหน้า
มู่เสี่ยวหรี่ตาลงและมองไปที่ผ้าเช็ดผ้าไหมในมือ ผ้าเช็ดมีเพียงดอกแมกโนเลียที่ละเอียดอ่อนปักอยู่ที่มุมขวาล่าง
แม้ว่าการเย็บจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็เห็นได้ว่าคนปักตั้งใจมาก
เขาได้ยินมาว่าเฉี่ยวฉู่ ศิษย์สุดที่รักของตระกูลซู ชอบแมกโนเลียมากที่สุด
ดีมาก หวางเฟยของเขาปักผ้าเช็ดผ้าไหมให้ชายอื่น ช่างสะดุดตาเหลือเกิน
มู่เสี่ยวตะคอกอย่างเย็นชา ใช่แล้ว เขาแค่เอาผ้าเช็ดผ้าไหมมาเพราะศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย ถ้าคนอื่นรู้ว่านางปักผ้าเช็ดให้ชายอื่น เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
หากไม่ใช่เพราะว่า...ความโกรธตื้น ๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงในใจ
"ท่านอ๋อง" เสียงของซวนหยวนดังมาจากนอกประตู
ดวงตาของมู่เสี่ยวแข็งค้าง จากนั้นไม่มีอารมณ์ใด ๆ อีกต่อไป ดวงตาลึกราวกับท้องทะเล เขาเอาผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมไว้ที่แขนเสื้อ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นและตอบเบา ๆ "เข้ามา"
ซวนหยวนผลักประตูเปิดออกและเข้าไปด้วยสายตาเคารพ
"เป็นอย่างไร?" มู่เสี่ยวถามอย่างสบาย ๆ
เขาเคยเห็นซูเมิ่งเยียนเมื่อสองสามวันก่อน แม้ว่านางจะเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก แต่ดูเหมือนจะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้ดี วันนี้นางบอกว่าไม่สบายและบาดแผลก็กลับมาเป็นซ้ำ แถมยังบอกว่าถ้าเขาเป็นห่วงนาง ก็ขอให้เขาไปเยี่ยมนางที่ที่ลานหลัง?
เพราะอุบายของผู้หญิงคนนั้น!
"นี่..." ซวนหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็บอกความจริง "เมื่อครู่ ข้าเห็นว่าหวางเฟยมีสีหน้าซีดขาว ราวกับว่า...นางไม่สบายอย่างมาก บางที...แม่นางชิวซวงอาจจะพูดความจริง..."
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้หวางเฟยขยับเพียงเล็กน้อยและมีเหงื่อสองสามหยดปรากฏบนหน้าผาก แม้ว่ารูปร่างหน้าตาสามารถเสแสร้งได้ แต่สัญชาตญาณของร่างกายของนางไม่สามารถเสแสร้งได้
"เจ้าหมายความว่า นางมีอาการกำเริบจริงหรือ?" มู่เสี่ยวหรี่ตาเพื่อซ่อนความประหลาดใจในดวงตาของเขา
"...ขอรับ"
มู่เสี่ยวกำมือแน่น และปลายนิ้วสัมผัสมุมของผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมที่เขาไม่มีเวลาซ่อนไว้ในแขนเสื้อ เขาสะดุ้งเล็กน้อย
ซวนหยวนอยู่เคียงข้างมู่เสี่ยวมากว่าสิบปี ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายในขณะนี้ "ท่านอ๋องจะไปที่ลานหลัง?"
สีหน้าของมู่เสี่ยวเปลี่ยนไป ร่างกายที่ค่อนข้างหลวมของเขาก็ตึงขึ้น เขาพิงพนักเก้าอี้และพูดเสียงต่ำว่า "ไม่ไป!"
เมื่อนางถูกส่งไปยังหลิงหย้วนเป็นแรกๆ นางดูเหมือนจะมีอาการประสาทหลอนอยู่หลายครั้ง คิดว่ามู่เสี่ยวมาหานาง จึงวิ่งไปที่ประตูด้วยเท้าเปล่า และเห็นร่างสีขาวราวกับหิมะ แต่เพียงชั่วพริบตา ร่างนั้นหายไป
นางชอบมู่เสี่ยวในชุดสีขาว มันทำให้นางรู้สึกว่าเขาอ่อนโยนมาก หากแต่ไม่ใช่ท่าทางเย็นชาในชุดสีดำ
"ในที่สุดเจ้าก็มา" นางพูดพร้อมกับประชดประชันและความคาดหวัง
มู่เสี่ยวขมวดคิ้ว เนื่องจากไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนาง แต่เมื่อมองไปที่คิ้วของนางนั้นทว่ากลับทำให้เขารู้สึกหม่นหมองในใจและหายใจลำบาก
"ที่แท้ เจ้าก็เคยมาเยี่ยมข้าใช่ไหม?" เมื่อพูดอีกครั้ง ความคาดหวังทั้งหมดในคำพูดของซูเมิ่งเยียนก็หายไป หลงเหลือไว้เพียงการประชดประชัน
มู่เสี่ยวหรี่ตาด้วยความไม่พอใจ เขาไม่ได้โง่เขลา เขาเข้าใจคำพูดประชดประชันของนาง "หวางเฟยหมายความว่าเช่นไร?"
น้ำเสียงที่เย้ยหยันเสมือนอ่างน้ำเย็นที่ราดบนศีรษะของซูเมิ่งเยียน ทำให้นางรู้ได้อย่างชัดเจนว่าคนที่อยู่ข้างหน้านางคือมู่เสี่ยว หากแต่ไม่ใช่ท่านอ๋องผู้บังคับบัญชาที่สงบนิ่งสงบเหมือนบ่อน้ำโบราณในอนาคต !
"ไม่เป็นไร" ซูเมิ่งเยียนเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอันเฉียบแหลมของมู่เสี่ยวก็เลี่ยงการจ้องมองของเขา "เมื่อครู่ข้าเสียสติและมองคนผิดไป"
คำพูดเหล่านี้เป็นความจริง นางตัดสินคนผิด นางสับสนระหว่างชีวิตในอดีตและชีวิตปัจจุบัน
เมื่อมู่เสี่ยวได้ยินคำพูดนี้ของนาง คิ้วและดวงตาของเขาจริงจังมากขึ้นไปอีก เมื่อครู่ที่นางมองเขา แม้ว่าดวงตาของนางจะดูประชดประชัน แต่อารมณ์ที่รุนแรงและความสิ้นหวังที่อยู่ทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้ง แต่ก็พอใจอย่างยิ่ง
ทว่าตอนนี้ ดวงตาของนางช่างเย็นชาราวกับว่าเขาเป็นคนที่ไม่สำคัญเลย
เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้
"โอ้?" ดังนั้น เขาจึงอ้าปาก ด้วยเสียงที่เบาลงเล็กน้อย "ข้าไม่รู้ว่าเมื่อครู่หวางเฟยมองข้าเป็นใครกัน ถึงได้กล่าวด้วยความรู้สึกซึ้งนั้นออกมา?"
เขาไม่บ้าใช่ไหม?
ซูเมิ่งเยียนชำเลืองมองเขา "ดวงตาไหนของท่านอ๋องที่เห็นข้าความรู้สึกซึ้ฃ? มันก็แค่... คิดถึงคนไม่สำคัญคนหนึ่ง" เมื่อพูดจบ ก็เกรงว่าเขาจะถามต่อ จึงถามกลับว่า "ทำไม? หรือว่าท่านอ๋องสนใจด้วย?"
"ไร้สาระ!" ตามที่คิดไว้ มู่เสี่ยวปฏิเสธโดยตรงด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ข้าจะสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร"
คำตอบตามที่คาดไว้ ซูเมิ่งเยียนไม่แปลกใจ ดวงตาของนางมองเข้าไปในห้องมืดอย่างช้า ๆ ดูเหมือนคืนนี้นางคงไม่มีโอกาสได้เห็นสถานที่ที่ตนเองเสียชีวิตในชาติที่แล้ว
"จวนอ๋องไม่ใช่จวนตระกูลซู นี่มันดึกมากแล้ว หวางเฟยยังไม่หายดี ไปพักผ่อนดีกว่า" เมื่อเขาพูดอีกครั้ง มู่เสี่ยวก็ฟื้นคืนความสงบเป็นปกติแล้ว
ซูเมิ่งเยียนละสายตาของนางจากประตูบ้านบานนั้น "ท่านอ๋องพูดถูก" จากนั้นจึงหันศีรษะและเดินไปที่ประตู ทว่ากลับไม่คาดคิดว่าบาดแผลที่หัวไหล่ของนาง จะทำให้ร่างเซและส่งร้องเสียงเบาออกมา
"เจ้า..." มู่เสี่ยวกำมือแน่นและยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว
ซูเมิ่งเยียนยื่นมือไปค้ำเสาไม้ด้านข้างไว้แน่นแล้ว บาดแผลก็กลับมาเจ็บปวดอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานก็บรรเทาอาการเจ็บขึ้น พร้อมกับมีเหงื่อซึมออกมาที่หน้าผากของนาง
มู่เสี่ยวจ้องที่มือของตัวเองที่ยื่นออกไป นานพอสมควร เขาก็รีบดึงกลับ
เขา...จะพยุงนาง?
คงเป็นเพราะว่าคืนนี้ฟ้าเป็นใจ ทำให้เขาจิตใจเพ้อเจ้อ
ก็แค่...มู่เสี่ยวหรี่ตาของเขา ซวนหยวนพูดถูก นางไม่ได้เสแสร้ง เพียงแค่ใช้สายตามองก็เห็นได้ว่าสีหน้าของนางขาวราวกับกระดาษ อาการบาดเจ็บเก่าที่กำเริบ
ในขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ซูเมิ่งเยียนได้เดินไปที่ประตูหลิงหย้วนแล้ว โดยไม่รอเขา
สีหน้าของมู่เสี่ยวจริงจังขึ้นอีกครั้ง พร้อมหันศีรษะไปมองห้องที่อยู่ข้างหลังเขา
เขาไม่ชอบที่นี่ เมื่อก่อนเป็นเพราะที่นี่เงียบเกินไปและมันก็คล้ายกับอดีตของเขามาก
และตอนนี้ เขาไม่ชอบ เพราะว่า...ที่นี่ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ได้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ สนุกมากอยากอ่านต่อ...
อัพต่อหน่อยจ้าา...
อัพต่อด้วยค่ะ อยากอ่านต่อ...
อัพอีกหน่อยค่า อยากอ่านต่อ...
4/4/2567 ใครช่วยตอบที ไม่อัพตอนเพิ่มแล้วใช่ไหมค่ะ.... อยากอ่านต่ออะ 😢😢😢...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ หายไปเลย รออยู่นะคะ...
ไม่อัพแล้วหรอครับ...