อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน นิยาย บท 52

ซูเมิ่งเยียนหลบหนีออกไปแล้ว

ในขณะที่มู่เสี่ยวจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของนาง หลังจากที่พูดกับนางว่า "เคยเชื่อ แต่มีจุดจบที่น่าเศร้า" จบไป นางก็ตอบอย่างลวก ๆ ว่า "อืม" และหลังจากที่เห็นว่าเขาต้องการจะพูดต่อจึงรีบร้อนกล่าวว่า "ข้าเหนื่อยแล้ว" จากนั้นก็หนีไปทันที

อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเปิดเผยเสียงจากส่วนลึกของหัวใจกับนางเป็นครั้งแรก อาจจะเป็นเพราะสายตาที่เขาจ้องมองมาที่นางอย่างไม่ได้ซ่อนเร้นที่พบเจอได้ยาก หรือบางที...อาจจะเป็นคำพูดที่มาจากส่วนลึกของหัวใจนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพูดกับนางในชีวิตก่อน...

จนนางเริ่มกลัวแล้ว

เมื่อมองเข้าไปในดวงตาที่เปล่งประกายแสงสลัว นางก็รู้สึกขึ้นมาได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจที่อยู่ในหน้าอกอย่างเงียบงันมาเป็นเวลาเนิ่นนาน กำลังเต้นโครมครามอย่างรุนแรงอยู่

"คุณหนู..." ชิวซวงมองดูเงาร่างที่พุ่งผ่านเบื้องหน้าไปอย่างตื่นตกใจ ไม่ทันรอที่จะส่งเสียง ร่างนั้นก็หมุดเข้าไปในเตียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ซูเมิ่งเยียนนอนนิ่เงียบอยู่ใต้ผ้าห่ม ด้วยความที่เดินเร็วจนเกินไป ทำให้หอยหายใจเร็วขึ้นมา แต่นางกลับไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลย

หลังจากที่ผ่านไปนาน ในที่สุดนางก็เงยหน้าขึ้นมาจากใต้ผ้าห่ม นางก้มศีรษะลงอย่างงงงัน เมื่อมองไปที่มือของตนเอง ก็พบว่านิ้วเรียวบางสั่นเทา และนางก็ประสานมือทั้งสองไว้ด้วยกัน จนในที่สุดก็สงบลงบ้างเล็กน้อย และในชั่วพริบตานั้น นางก็เอื้อมมือออกไปสัมผัสที่ใต้ตาของตนเอง

ตัวนางแข็งทื่อ

มันค่อนข้างที่จะชื้น

ห้องหนังสือ

มู่เสี่ยวยังคงนั่งอยู่เงียบ ๆ ข้างหลังโต๊ะหนังสือ หนังสือโบราณที่อยู่เบื้องหน้ายังคงคว่ำอยู่บนโต๊ะ แสงสว่างจากเปลวเทียนด้านข้าง ทำให้ทั้งห้องดูราวกับว่ากำลังสั่นไหวอย่างไรอย่างนั้น

เขาหรี่ดวงตาลงเล็กน้อย

การที่ซูเมิ่งเยียนมาหน้าเขาถึงที่นี่ เป็นเรื่องที่เขาคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว

มันก็เหมือนกับครั้งก่อน นางขับไล่หญิงสาวที่อยู่รอบกายเขาไปจนหมด แต่ก็ยังมีเรื่องที่ไม่เหมือนกับครั้งก่อนก็คือ นางในครั้งนี้ ขาดความสนใจต่อเขา อีกทั้งยังขาดความมุ่งเป้าไปที่หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างเขาอีกด้วย

นางเฉลียวฉลาดมากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ และมองออกด้วยว่าฮั้วเหมยคือสายลับ

เพียงแต่ว่า สุดท้ายแล้วก็ต้องยืมมือของนาง กำจัดสายลับที่ไม่ควรปล่อยไว้นี้ออกไปแล้ว

สายลับภายในจวนมีมากมายอยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นที่จะต้องทิ้งเอาไว้ข้างกายอีกคน

เพียงแต่ว่า เขาคิดถึงประโยคที่อธิบายไม่ถูกประโยคนั้น "ท่านเคยเชื่อคนที่อยู่ข้างกายหรือไม่?"

ไม่เคยมีผู้ใดถามคำนี้กับเขามาก่อน และไม่มีผู้ใดที่จะยอมถามคำนี้ออกมาด้วย ความเชื่อใจ เป็นสิ่งที่เหยียดหยามที่สุดในราชวงศ์

แต่ทว่าในตอนที่นางถามคำนี้ออกมา ไม่คาดคิดว่าเขาจะตอบ เขาจ้องมองเข้าไปในตาของนาง แล้วตอบความจริงทั้งหมดออกมา มีชั่วขณะหนึ่ง เขาคิดแม้กระทั่งว่า...นางคือภรรยาของเขา

"ท่านอ๋อง" เสียงของซวนหยวนดังขึ้นมาจากนอกประตู

สติของมู่เสี่ยวก็คืนกลับมาในทันที เขาหันหน้าไปมองที่ประตูแล้วกล่าวว่า "เข้ามา"

ซวนหยวนผลักประตูเปิดออก "แม่นางฮั้วเหมยไม่ได้สงสัยอะไร ข้าได้จัดการให้นางไปอยู่ที่โรงเตี้ยมแล้ว"

"อืม" มู่เสี่ยวตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ จากนั้นก็โบกมือเล็กน้อย ซวนหยวนเข้าใจแล้วถอยหลังออกไป

ฮั้วเหมยไม่น่ามีชีวิตรอดแล้ว มู่เสี่ยวจ้องมองไปยังเปลวเทียนที่สั่วไหวอยู่เบื้องหน้า แล้วหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา

ตั้งแต่ตอนที่นางเดินเข้ามาในจวนอ๋อง ชีวิตของนางก็จะต้องไม่รอดอยู่แล้ว

หากนางมีหลักฐานอยู่ในมือ เขาก็ไม่อาจจะเก็บนางไว้ได้ และหากนางกลับไปอย่างล้มเหลว องค์รัชทายาทมู่หนิ่งก็ไม่อาจเก็บนางไว้แน่

แต่ไหนแต่ไรมาต่างก็หมดหนทางเสมอ ซูเมิ่งเยียนก็คงจะไม่ได้คิดมาถึงจุดนี้หรอก เช่นนั้นตอนที่เขากล่าวว่า "หวางเฟยฆ่าคนไปแล้ว" แววตาของนางจึงเต็มไปด้วยความงุนงง

อย่างไรก็ตาม เขาถึงซ่อนมันเอาไว้

นางไม่เหมือนกับเขา บนมือของเขาเปื้อนเลือด และเขาก็ไม่รังเกียจที่จะสั่งฆ่าอีกสักสองสามชีวิต

ดูเหมือนว่าเมื่อครู่นี้เขาจะสังเกตเห็นว่านึกถึงนางขึ้นมาอีกแล้ว มู่เสี่ยวขมวดคิ้วมุ่น และรีบบังคับตนเองให้เปลี่ยนเรื่องคิดในทันที

...

วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าปลอดโปร่งสดใส

ซูเมิ่งเยียนมีความเคยชินที่ดีอยู่อย่างหนึ่ง ขอเพียงแค่หลับตื่นนอน โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะลืมปัญหาทุกอย่างไปได้

หลังจากที่ตื่นนอนแล้ว อารมณ์เปราะบางและน้ำตาที่ไหลนองเต็มใบของเมื่อคืนวานนี้ ต่างก็ถูกโยนทิ้งไว้เบื้องหลังหมดแล้ว ในเมื่อขับไล่ฮั้วเหมยไปแล้ว ก็ถือว่าได้กำจัดหนามยอกอกออกไปได้แล้ว

นี่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรักใคร่อย่างที่นางได้กล่าวเอาไว้ เพราะว่าอย่างไรเสียนางและมู่เสี่ยวในตอนนี้ถือว่าเป็นคนที่ลงเรือลำเดียวกัน ก่อนที่เขาจะครองอำนาจ นางจะต้องปกป้องเขาไม่ให้ตาย เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลซูก็จะได้ถอนตัวออกไปได้สำเร็จ

มู่เสี่ยวไม่ใช่คนที่ไม่รักษาคำพูด ในเมื่อทั้งสองมีข้อตกลงว่า "นางยอมที่จะหย่ากับเขา โดยที่เขาจะไม่โจมตีตระกูลซู"นั้น เขาจะไม่อาจละเมิดมันได้อย่างแน่นอน

ในเมื่อร่างกายได้รับการเยียวยาแล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน

ซูเมิ่งเยียนอยู่ในจวนอ๋องมาเกือบจะใกล้ถึงหนึ่งเดือนแล้ว และเมื่อได้ยินมาว่าวันนี้มู่เสี่ยวไม่อยู่ที่จวน นางก็มีความคิดที่อยากจะออกมาเดินเล่นชั่วขณะหนึ่ง

หลังจากที่คิดแล้ว ก็ทำเช่นนั้นในทันที นางและชิวซวงก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา และทั้งสองคนก็ผลุนผลันออกจากจวนอ๋องในทันที

ตลาดนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมากเท่าไรนัก มีเพียงแค่ผลไม้เคลือบน้ำตาลของถนนตะวันออกได้ถูกเปลี่ยนไปอยู่ที่ถนนตะวันตกแทน และร้านขายหน้ากากจากถนนทิศเหนือถูกย้ายไปทิศใต้แทน

แต่ทว่าบรรยากาศที่ผู้คนต่างมีชีวิตชีวานั้นทำให้ซูเมิ่งเยียนมีความสุขเป็นอย่างมาก

เมื่อเดินดูไปตามบริเวณโดยรอบกับชิวซวงสองคน ก็รู้สึกพึงพอใจมากเช่นกัน

จนกระทั่เดินงมาจนถึงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ก็เห็นหญิงคนหนึ่งกำลังขายกระต่ายอยู่ กระต่ายขาวตัวเล็กขนนุ่มฟูตัวนั้น น่ารักเป็นอย่างมาก

นางหยิบมันมาไว้ในมืออย่างชอบอกชอบใจ และได้หยอกล้อมันเล่นเป็นครั้งคราว

"คุณหนู อยากจะซื้อไว้สักตัวไหมเจ้าค่ะ?" ชิวซวงที่ยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่านางชอบเช่นนี้ จึงเตรียมที่จะหยิบเงินในกระเป๋าออกมาแล้ว

สีหน้าที่หยอกล้อของซูเมิ่งเยียนนิ่งค้างไปทันที จากนั้นก็วางกระต่ายที่อยู่ในมือคืนกลับไปที่เดิม "ไม่ต้องหรอก"

“เอ๊ะ?” ชิวซวงไม่เข้าใจ

"ข้าในตอนนี้ยังต้องการคนคอยดูแลอยู่เลย แล้วจะไปสามารถดูแลมันได้อย่างไรกันล่ะ?" ซูเมิ่งเยียนส่ายศีรษะ ชีวิตหนึ่งนี้ นางยังไม่กล้าที่จะรับผิดชอบในตอนนี้

ระหว่างทาง ยังคงมีของเล่นที่มีสีสันอยู่อีกมากมาย แต่ทว่านางก็เพียงแค่มองดูเท่านั้น และนางก็ไม่ได้ต้องการที่จะซื้อสิ่งของเหล่านั้น จนกระทั่งได้เลี้ยวมาจากหัวมุมถนน ก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นโชยเข้ามา นางจึงคลี่ยิ้มออกมาทันที

เกาลัดคั่วของหัวมุมถนนนั้นมีเอกลักษณ์มากที่สุดในเมืองหลวงอย่างแท้จริง กลิ่นที่โชยมาแต่ไกลทำให้คนต้องน้ำลายสอ ก่อนหน้านี้ตอนที่นางอยู่ที่ตระกูลซูก็คิดอยากที่จะกินมันทุกวันเลยทีเดียว

แต่ทว่าร้านนี้แปลกประหลาดมากเป็นพิเศษ จะขายเพียงแค่สองร้อยชุดต่อวัน และคั่วแล้วขายเลย ใคร ๆ ต่างก็ต้องมารอต่อแถวกันทั้งนั้น

เพียงเพราะว่ามันมีรสชาติที่อร่อยมากจริง ๆ เช่นนั้นคนถึงได้ต่อแถวมากมายเช่นนี้

ซูเมิ่งเยียนมองไปข้างหน้า และเห็นว่าเบื้องหน้านั้นมีคนเพียงแค่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น จึงคิดที่จะต่อแถวกับชิวซวง

...

อีกด้านหนึ่ง ชั้นบนของร้านอาหาร

ชายที่สวมชุดสีขาวคนหนึ่งมองลงมาจากทางหน้าต่างด้วยความเงียบงัน พร้อมกับแววตาที่ลุ่มลึก

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ยังมีองค์ชายคนอื่น ๆ อีกสองสามคน และเมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนั้นเงียบอยู่เสมอ จึงเริ่มกล่าวหยอกล้อว่า "เหตุใดวันนี้ท่านอ๋องถึงไม่สนใจอะไรเลยล่ะ?"

ชายที่สวมชุดสีขาวหันกลับมามอง แต่ไม่ทันรอให้เขาได้พูดอะไร ก็ได้ยินอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า "ไม่ได้ยินเรื่องนี้หรือ หญิงงามของท่านอ๋อง ได้ถูกซูเมิ่งเยียนขับไล่ออกมาจากจวนเสียแล้ว คิดว่าจะมีความสุขได้อย่างนั้นหรือ?"

ชายที่สวมชุดสีขาวนั้น ที่จริงแล้วคือมู่เสี่ยว เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ ก็หลุบสายตาลงเพื่อเก็บซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ แล้วจ้องมองออกไปที่นอกหน้าต่าง

"ท่านอ๋องกำลังดูอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ?" มีคนมองตามสายตาของมู่เสี่ยวไป และเขามองเห็นคนต่อแถวยาวเหยียดอยู่ตรงหน้าร้านขายเกาลัดคั่ว รวมถึง...ในแถวที่ยาวเหยียดนั้นก็มีหญิงสาวธรรมดาสองคนกำลังต่อแถวอยู่ด้วย "ธรรมดามากนัก" คนผู้นั้นกล่าวอย่างเสียดาย

มู่เสี่ยวเม้มริมฝีปากของเขาเล็กน้อย

"เดี๋ยวก่อนนะ!" ทันใดนั้นผู้ชายคนนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง และโน้มตัวออกจากหน้าต่างไปเกือบครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็หรี่ตามองไปที่หญิงสาวที่สวมชุดสีเขียวอย่างระมัดระวัง

มู่เสี่ยวขมวดคิ้วมุ่น

"ท่านอ๋อง" คนนั้นยังไม่รู้เรื่อง หันมามองที่มู่เสี่ยว แล้วชี้นิ้วออกไปด้านนอกหน้าต่าง "หญิงสาวที่สวมชุดสีเขียวผู้นั้น ถึงเมื่อมองแวบแรกแล้วจะดูธรรมดา แต่ทว่าเมื่อครู่ที่นางยิ้ม ข้ารู้สึกว่า...หัวใจนี้มันร้อนรุ่มขึ้นมาเล็กน้อย..."

"ท่านนายพลหวางไม่ใช่ว่าตกหลุมรักแล้วเช่นนั้นหรือ?" มีบางคนกล่าวหยอกล้อขึ้นมา

"อย่าพูดไป หญิงสาวคนนั้นมีรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์จริง ๆ..."

มู่เสี่ยวขมวดคิ้วมุ่น และมือที่อยู่ใต้โต๊ะก็กำหมัดเอาไว้แน่น จ้องมองไปที่หญิงสาวที่สวมชุดสีเขียวในแถวที่ยาวเหยียดนั่น

เพียงแค่กินเกาลัดท่านั้น เหตุใดรอยยิ้มถึงเจิดจรัสเช่นนี้?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน