เมื่อถูกมู่เสี่ยวเข้ามารบกวน ก็ทำให้ซูเมิ่งเยียนไม่ค่อยมีอารมจะเดินตลาดอีกเลย
เกาลัดที่หอมอร่อยที่อยากทานมากในเมื่อครู่นี้ ในตอนนี้ก็รู้สึกถึงความร้อนที่อยู่ในอ้อมแขนแล้ว แต่ทว่านางชอบที่จะทานสิ่งนี้จริง ๆ จะให้ทิ้งไปก็น่าเสียดาย ฉะนั้นจึงถือมันเอาไว้ตลอด
ความแตกต่างของตลาดที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อลองดูไปครู่หนึ่งนางก็ขาดความสนใจเสียแล้ว
ชิวซวงดูออกว่านางค่อนข้างที่จะอ่อนเพลีย ในเวลานี้จึงแนะนำขึ้นมาว่า "คุณหนู วันนี้พวกเรามาเดินเล่นกันถึงเท่านี้ก็พอแล้ว ร่างกายท่านเพิ่งจพหายดี รีบกลับไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ"
ซูเมิ่งเยียนพยักหน้ารับและทั้งสองคนก็หันหลังกลับและเดินตรงไปในทิศทางจวนอ๋องหย่งอัน โดยที่ฝีเท้านั้นเร็วมากขึ้นเล็กน้อย
แต่ทว่าเมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงใจกลางของตลาด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่รีบเร่งไปมารอบตัว เนื่องจากทั้งสองคนเดินเร็วมาก จึงไม่ได้สังเกตเห็นอะไรในตอนแรก
“รถม้านั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?” คนโดยรอบส่งเสียงซักถามกันไปมา แล้วยืนอยู่ข้างถนนในระยะไกล
"ม้าน่าจะตกใจกลัวอย่างนั้นหรือ?" มีคนตอบกลับ
"ตกใจอะไรกัน หรือว่า..." มีคนลดเสียงพูดให้เบาลง "ไม่เห็นรถม้าที่หรูหรานั่นหรือ? น่าจะเป็นคุณชายฟู้เซียนก็ออกมาอีกแล้วกระมั้ง..."
“ครั้งนี้จะมาในที่วุ่นวายเช่นนี้ได้อย่างไร?"
"ใครจะไปรู้ล่ะ..."
เสียงซุบซิบนินทาดังเขามาถึงในหู ซูเมิ่งเยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วมองไปที่ชิวซวงที่อยู่ด้านข้างพลางกล่าวว่า "เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?"
แต่ไม่ทันรอให้ชิวซวงได้ตอบกลับ นางก็สังเกตเห็นได้ถึงสิ่งแปลกประหลาดบางอย่าง มีเสียม้าควบรวมไปถึงเสียงล้อของรถม้าดังขึ้นมาจากด้านหลัง
เมื่อหันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าม้าตัวหนึ่งกำลังลากรถม้าที่คลุมด้วยผ้าสีแดงค่อย ๆ วิ่งควบใกล้เข้ามาพอดี มันช่างหรูหรามากจริง ๆ แต่ที่ทำให้คนตกใจมากที่สุดก็คือ รถม้านั่น...ไม่มีคนควบม้า มีเพียงแค่สายบังเหียนเส้นหนึ่งที่ขึงไว้ในม่านเท่านั้น แล้วมันก็ยังดูเหมือนถูกปล่อยไว้อย่างหลวม ๆ อีกด้วย เห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่ข้างในไม่ได้ดึงมันเอาไว้
"คุณหนู..." ชิวซวงส่งเรียกขึ้นมาอย่างแผ่วเบา แล้วรีบวิ่งเข้ามาหาซูเมิ่งเยียน
คิ้วของซูเมิ่งเยียนขมวดมุ่น และเมื่อเห็นว่าม้ากำลังวิ่งพุ่งตรงมาที่ตนเอง ก็เอื้อมมือออกไปผลักชิวซวงให้ออกไปด้านข้าง
“ฮี้—” ม้าส่งเสียงฮี้ดังก้อง
ใจของซูเมิ่งเยียนกระตุกแน่น เมื่อครู่นี้ต่อให้พยายามจะทำใจให้สงบเพียงใด แต่ทว่าร่องรอยความหวาดกลัวที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจก็มีอยู่มากมายนัก
นางจ้องมองไปที่กีบม้าที่กำลังจะเหยียบย่ำลงมาที่ตนเอง มีแต่ความหวาดผวาในหัวใจ ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง คิดอยากจะร้องให้คนช่วย แต่กลับไม่มีเสียงร้องอะไรออกมาเลย
รถม้าที่หรูหรานั้นก็สั่นไหวอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
กีบเท้าม้ายกสูงขึ้น
ไม่มีทางให้หนีได้แล้ว
ซูเมิ่งเยียนจ้องมองอย่างช่วยไม่ได้ ใครจะคิดว่า ในชีวิตนี้...นางไม่จำเป็นต้องหนีมู่เสี่ยวไปให้ไกลแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะมาตายใต้กีบเท้าม้าเช่นนี้...
แต่ในขณะนั้นเอง
ทันใดนั้นบังเหียนที่เคยหลวงก็รัดแน่นขึ้น เงาร่างสีแดงเข้มเหาะออกมาจากเสลี่ยง และในมือของผู้ชายคนนั้นก็กุมบังเหียนเอาไว้ จากนั้นก็กระโดดเล็กน้อยแล้วขึ้นไปนั่งบนหลังม้า เขาร้องเสียงต่ำ แล้วทำให้ม้าเริ่มสงบลง ยิ่งไปกว่านั้น บังเหียนนั้นทำให้หน้าอกของม้ามีร่องรอยสีแดงอยู่ด้วย
รถม้าหยุดลงอย่างกะทันหัน จนทำให้รถม้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และหญิงสาวที่อยู่ในรถม้าก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ
ซูเมิ่งเยียนชะงักงัน ความตื่นตกใจเมื่อครู่นี้ได้หายไปแล้ว นางเงยหน้ามองอย่างยังคงหวาดผวาไปยังม้าที่สงบลงที่อยู่เบื้องหน้า มันพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง และขยับไปมาอยู่กับที่อย่างกระวนกระวายใจ
"คุณหนู!" ด้านข้างนั้น ชิวซวงตะโกนร้องออกมา รอบด้วยตาแดงก่ำ
เมื่อครู่นี้นางต้องการที่จะปกป้องคุณหนู แต่ทว่าคุณหนู...ไม่นึกเลยว่าจะปกป้องนาง เห็นได้ชัดว่านางเป็นเพียงแค่สาวใช้เท่านั้น มันคุ้มค่าเสียที่ไหนที่จะเสี่ยงชีวิตปกป้องนางไว้?
"ร้องทำไมกัน ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย?" ซูเมิ่งเยียนฝืนยิ้มออกมา แม้ว่าใบหน้าจะยังคงซีดเซียวอยู่
ในขณะนี้นางพึ่งจะมีโอกาสได้มองคนที่อยู่บนหลังม้าเมื่อครู่นี้ และเมื่อได้เห็นใบหน้าของเขาคนนั้นอย่างชัดเจนแล้ว กลับทำให้ต้องตกใจเล็กน้อย
นางไม่เคยเห็น...ชายที่สวมชุดคลุมสีแดงแล้วดูดีเช่นนี้...มาก่อนเลย
คิ้วและดวงตาของคนผู้นั้นงดงามราวภาพวาด ที่ทุกลายเส้นมีความละเอียดอ่อน อีกทั้งบนร่างกายของเขายังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกบ๊วยอีกด้วย ริมฝีปากแดงระเรื่อ จมูกโด่งเป็นสัน ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะมีความงดงามมากยิ่งกว่าหญิงสาวเสียอีก
แต่ทว่าในขณะนี้...เขาขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองมาที่นางอย่างไม่พึงพอใจ
ซูเมิ่งเยียนชะงักงันไปชั่วขณะหนึ่ง
"เป็นสาวอัปลักษณ์อย่างเจ้าเองหรือ ที่ทำให้ม้าของข้าต้องตกใจ คิดจะรบกวนช่วงเวลาที่ดีของข้ากับสาวงามเช่นนั้นหรือ?" คนผู้นั้นประคองสาวงามไว้ หรี่ดวงตาเล็กลงแล้วกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ
ความหวาดกลัวภายในจิตใจของซูเมิ่งเยียนเมื่อครู่หายไปทันที จ้องมองไปที่ชายผู้ไร้เหตุผลตรงหน้า ถึงแม้ว่าหน้าตาของนางจะไม่ได้งดงามจนทำให้ล่มเมืองได้ แต่ทว่าก็ยังได้ว่าเป็นคนที่น่ารักน่าเอ็นดู ตรงไหนที่ถือได้ว่า "อัปลักษณ์" กัน?
คนที่อยู่เบื้องหน้านี้ ดูแล้วนอกเสียจากมบหน้านั้น ก็ไม่มีอะไรอีกเลยจริง ๆ!
"ดูเหมือนว่าวันนี้คุณชายฟู้เซียนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร..." คนโดยรอบต่างก็ซุบซิบนินทาขึ้นมา
คนนี้ก็คือฟู้เซียนอย่างนั้นหรือ?
ในที่สุดแล้วซูเมิ่งเยียนก็ได้ยินอย่างชัดเจน นางเงยหน้ามองเขาคนนั้น คุณชายของหอหยูอี้หรือ? อยู่ที่ต้าจินนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แต่ทว่า...กลับเป็นแค่นามแฝงเท่านั้น
หอหยูอี้ เป็นหอเริงรมย์ ที่ไว้หาความสนุกสนาน เล่าลือกันว่าผู้ที่สามารถไปที่แห่งนั้นได้ ต้องร่ำรวยหรือสูงส่งเป็นอย่างมาก
และฟู้เซียน ก็เป็นถึงอันดับหนึ่งของหอหยูอี้ เพียงแค่...เขาปรากฏตัวออกมาน้อยมาก มีข่าวลือว่าเป็นญาติของเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นเกรงว่าต้องแล้วแต่อารมณ์ของเขา
"ท่านนี้..." ซูเมิ่งเยียนเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แล้วจ้องมองไปที่ใบหน้าที่งดงามอย่างไม่พอใจของฟู้เซียน "เป็นท่านเองที่ดื้อด้านอยากจะเอารถม้าเข้ามาในตลาดเช่นนี้ นี่มันเป็นการรบกวนความสงบสุขของผู้คน แล้วตอนนี้ยังมาพูดจาเหยียดหยามข้า กลับกล่าวหาคนอื่น?" นางถามกลับ
"เจ้าบอกว่าข้าพูดจาเหยียดหยามเช่นนั้นหรือ?" ฟู้เซียนหรี่ตาลง แล้วมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า "หรือว่าเมื่อครู่นี้คุณชายอย่างข้าไม่ได้พูดความจริงเช่นนั้นหรือ?"
ซูเมิ่งเยียน : "..."
นางพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ลง แล้วเงยหน้าขึ้น "แม่นางฟู้เซียน เมื่อท่านได้ยินคำนี้แล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?"
แววตาของฟู้เซียนแข็งค้าง มุมปากยกยิ้มขึ้น "เรียกผู้ใดว่าแม่นางกัน?"
"เจ้า"
"หญิงอัปลักษณ์!"
"แม่นาง"
"..." ในตอนที่ฟู้เซียนกำลังจะตอบกลับ เขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน จึงหันกลับไป แล้วมองความคึกคักที่อยู่โดยรอบ จากนั้นก็ชี้ไปที่รถม้าของตนเอง "เจ้า ขึ้นไป"
ซูเมิ่งเยียนผงะไปครู่หนึ่ง อยู่ ๆ นิสัยใจคอในชีวิตครั้งที่หายหมดฟื้นขึ้นมาได้ จึงได้เรียนรู้มันมาจากเขา จากนั้นนางเกี่ยวนิ้วเข้าด้วยกันแล้วบอกว่า "เจ้าน่ะ ลงมา!"
ฟู้เซียนเริ่มมีความสนใจ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่คาดคิดว่าเขาจะพลิกตัวลงมาจากหลังม้าจริง ๆ และจากนั้นก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าของนาง
ซูเมิ่งเยียนตัวแข็งทื่อ นางนึกไม่ถึงเลยว่า...ฟู้เซียนจะตัวสูงตระหง่านถึงเพียงนี้ แทบไม่ต่างอะไรกับมู่เสี่ยวเลย เมื่อยืนอยู่ตรงหน้านาง ก็ได้ก้มลงมามองที่นางจากที่สูง
"คุณชายอย่างข้าลงมาแล้ว เจ้าคิดอยากจะพูดอะไรกันล่ะ?" ริมฝีปากฟู้เซียนยกยิ้มเล็กน้อย
ซูเมิ่งเยียนจ้องมองใบหน้าเบื้องหน้าอย่างใกล้ชิด พูดตามตรงว่า เขาเกิดมาได้งดงามและละเอียดอ่อนจริง ๆ ราวกับว่าถูกแกะสลักอย่างละเอียดอ่อนด้วยพระเจ้าอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อสังเกตได้ว่านางตะลึงงันไป แววตาของฟู้เซียนก็แสดงออกถึงความเย้ยหยันออกมา "คาดว่าแม่นางคงจะเกิดในยามโฉ่ว(แปลว่า อัปลักษณ์)เลยสินะ"
ซูเมิ่งเยียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย "ทำไม..." เมื่อพูดจบก็ต้องรู้สึกเสียใจ นางไม่ควรที่จะถามเลย!
อย่างที่คาดไว้ฟู้เซียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "เพราะว่า...มันน่าเกลียดอย่างไรล่ะ!" หลังจากที่กล่าวคำนี้จบ ก็ดึงดูเสียงหัวเราะจากทุกคนโดยรอบได้ทันที
ซูเมิ่งเยียน : "..."
"คุณชาย..." แต่ในตอนนี้ มีเสียงตุ้งติ้งของหญิงสาวดังขึ้นมาจากในรถม้า และม่านของรถม้าก็ค่อย ๆ เปิดออก จากนั้นก็มีหญิงสาวที่สง่างามคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนและนุ่มนวลดุจสายน้ำ และเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง เพียงได้เห็นยังต้องหลงรัก
อย่างไรก็ตาม หญิงงามคนนั้นก็เป็นเพียงแค่คนสวย เมื่อเทียบกับฟู้เซียนแล้ว กลับเรียบเฉยไปไม่น้อย ฟู้เซียนเป็นความงามประเภทที่ไม่สามารถเมินเฉยได้
แน่นอนว่า ซูเมิ่งเยียนรู้ตัวว่าไม่ได้งดงามเท่าหญิงสาวผู้นั้น
"คนงามรอข้าสักครู่หนึ่ง" ฟู้เซียนมองไปที่นาง น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ทว่าสายตาก็ยังคงเมินเฉย แล้วก็มองมาที่ซูเมิ่งเยียนที่น่าเกลียดอีกครั้ง และน้ำเสียงที่อ่อนโยนนั้นก็หายไปแล้ว "หญิงอัปลักษณ์ หากเจ้าต้องการจะดึงดูดความสนใจของข้า ถือว่าเจ้าทำได้สำเร็จแล้ว"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน