อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน นิยาย บท 55

ดึงดูด...ความสนใจจากเขาหรือ?

ซูเมิ่งเยียนไม่เคยเจอผู้ใดที่หน้าด้านหน้าทนเช่นนี้มาก่อนเลย

นางหันศีรษะ แล้วมองไปที่บริเวณโดยรอบ จากสาเหตุที่นางผลักชิวซวงไปเมื่อครู่นี้ ทำให้ชิวซวงล้มลงไปบนแผงลอยด้านข้าง ต้นหอมที่เขียวเป็นมันขลับบนแผงลอยกระจัดกระจายไปทั่วทั้งพื้นดิน

นางหยุดชะงักไปขณะหนึ่ง

"ชิวซวง" และหลังจากนั้น ก็ยื่นมือออกมา

"..." ผู้คนโดยรอบไม่ขยับเขยื้อน และไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่น้อย

"ชิวซวง?" ซูเมิ่งเยียนหันหน้ามองไปที่นาง แต่สิ่งที่เห็นคือ...ชิวซวงจ้องมองไปที่ฟู้เซียนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง และสายตานั้นก็ไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

ซูเมิ่งเยียน "..."

ในทางกลับกันฟู้เซียนที่เห็นฉากนี้ ก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจแบบไม่แปลกใจเลย แล้วเขาก็หันหน้าไปมองซูเมิ่งเยียนเพื่อเป็นการประท้วง "ตอนนี้ข้าเริ่มที่จะสงสัยแล้วว่า ที่หญิงอัปลักษณ์อย่างเจ้ามาชนข้าในวันนี้ เกรงว่าจะคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ใช่หรือไม่? หลงรักข้าถึงเพียงนี้เลยหรือ?"

ซูเมิ่งเยียน "..." นางไม่รู้ว่าควรที่จะต้องตอบอย่างไรมาตั้งแต่แรกแล้ว

นางเพียงแค่หันศีรษะไป แล้วตรงเข้าไปดึงถุงเงินออกมาจากตรงเอวของชิวซวง จากนั้นก็หยิบตั๋วเงินจำนวนสิบตำลึงส่งให้กับพ่อค้า "ท่านลุง ต้องขอโทษด้วย ข้าทำต้นหอมของท่านเละไปหมดแล้ว นี่ถือว่าข้าให้ท่านเป็นค่าชดเชย"

เมื่อชายชราคนนั้นเห็นตั๋วเงินจำนวนสิบตำลึง ทั้งแผงนี้มันไม่คุ้มค่ากับเงินตั้งสิบตำลึงนั้นเลยนะ "แม่นาง เงินนี้...มันมากเกินไปแล้ว ข้าไม่มีเงินย่อยมาให้ท่าน..."

"ส่วนที่เหลือ ถือว่าเป็นค่าลงโทษที่ข้าเปลืองของก็แล้วกัน" ซูเมิ่งเยียนยัดเงินสิบตำลึงให้กับพ่อค้าคนนั้น

ชายชราไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของซูเมิ่งเยียน ได้เพียงแต่ต้องมองนางที่ก้มลงเก็บต้นหอมไปหนึ่งกำมือ แล้วหันหน้าเดินไปทางฟู้เซียนอย่างช้า ๆ 

ฟู้เซียนเลิกคิ้วขึ้น แล้วจ้องมองไปที่หญิงสาวที่เดินมาถึงตรงหน้าตนเอง

"ที่คุณชายพูดเมื่อครู่นี้ คือการที่ข้ามาปรากฏตัวในวันนี้ เป็นแผนการที่คิดไว้ล่วงหน้าเพื่อที่จะดึงดูดความสนใจจากคุณชายอย่างท่านเช่นนั้นหรือ?" ซูเมิ่งเยียนถามกลับ

"เฮอะ" ฟู้เซียนส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ 

"พรืด..." ซูเมิ่งเยียนเผย "ยิ้มอ่อน"  และเม้มปากของนางด้วยท่าทางเขินอาย

ฟู้เซียนหรี่ตาของเขาเล็กน้อย แววตาของเขามีความระมัดระวังขึ้นมา และสัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่า อาจจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็ได้

และเป็นไปตามที่คาดไว้ ในวินาทีต่อมา ซูเมิ่งเยียนก็ยื่นมือออกมาแล้วโยนต้นหอมสีเขียวขลับที่อยู่ในมือกำหนึ่งมาทางเขา

ฟู้เซียนเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว และไม่คาดคิดว่าในเวลาเดียวกันนั้นซูเมิ่งเยียนจะโยนต้นหอมที่อยู่อีกมือหนึ่งตรงมาทางเขาอีก

ในครั้งนี้ ฟู้เซียนไม่ขยับเขยื้อนอย่างมั่นใจ แล้วยืนอยู่กับที่ ต้นหอมที่ถูกทับจนเละอยู่บนเสื้อผ้าสีแดงเข้มของเขา และหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ตกลงมา แล้วก็ยังมีอีกต้นหนึ่ง ที่ห้อยอยู่บนไหล่ของเขา

บริเวณโดยรอบเงียบสงัด และทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่ทั้งสอง

ซูเมิ่งเยียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างภาคภูมิใจ

วิทชายุทธของมู่เสี่ยวนั้นสูงมาก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขากวนประสาทนาง ในตอนนั้นนางรินชาอุ่น ๆ ส่งให้เขาสองแก้ว เมื่อรินแก้วแรกไม่โดนเป้าหมาย นางหงุดหงิดเป็นที่สุด แล้วหลังจากที่คำรามเสียงทุ้มต่ำออกมาว่า "อย่าขยับ" แล้วจึงรินแก้วที่สอง และครั้งนี้ก็ไม่เหลืออยู่บนตัวของเขาแม้แต่หยดเดียว

ในเวลานั้น...ดวงตาของซูเมิ่งเยียนตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง และในเวลานั้น...เขาก็เพ่ิงได้กุมอำนาจ จึงอารมณ์ดีมาก

"..." มีความเย็นยะเยือกอยู่เบื้องหน้า

"คุณหนู!" ชายเสื้อของนางถูกคนดึง

สติของซูเมิ่งเยียนกลับคืนมา ก็เหลือบไปเห็นสายตาที่เย็นยะเยือกราวสายน้ำของฟู้เซียนที่อยู่ตรงหน้า ถึงจะดูสงบนิ่งที่ภายในใจก็กระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว "บทเรียนนี้จะสอนเจ้าว่า เจ้ามันไม่มีค่าอะไรเลย" เมื่อพูดจบก็หยิบตั๋วเงินออกมาจากกระเป๋าใบหนึ่ง จากนั้นก็ส่งไปตรงหน้าฟู้เซียน "เงินนี้ คงจะเพียงพอกับค่าเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเจ้า!"

"..." ฟู้เซียนไม่รับ และยังคงจ้องมองไปที่นางอย่างครุ่นคิด แต่ภายในแววตากลับเย็นชา เขาไม่ค่อยได้เห็นหญิงสาวที่จ้องมองเขาแล้วยังใจลอยได้

"เจ้าคงจะไม่ได้ต้องการที่จะรีดไถข้าใช่หรือไม่?" ซูเมิ่งเยียนขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็ยัดตั๋วเงินร้อยตำลึงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของฟู้เซียน และหันกลับไปลากชิวซวงเดินไปตามถนน

ฟู้เซียนจ้องมองไปยังเบื้องหลังของหญิงสาวที่จากไปอย่างรีบร้อน จากนั้นก็ค่อย ๆ หยิบเอาตั๋วเงินที่ถูกยัดลงไปในกระเป๋าออกมา แล้วคลี่ออกช้า ๆ 

หนึ่งร้อยตำลึง ช่างใจกว้างเสียจริง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกทำให้ขายหน้าด้วยเงินเช่นนี้ เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย หนี้นี้ จะต้องได้รับการชำระในไม่ช้าแน่นอน

"คุณชาย..." เสียงที่อ่อนหวานของหญิงงามที่อยู่ในรถม้าดังขึ้นมา

สติของฟู้เซียนกลับคืนมา จากนั้นก็เหลือบมองไปที่สาวงาม สาวงามแต่ไร้เสน่ห์ น่าเสียดายที่ไม่มีชีวิตชีวาอะไร เขาหันหน้าไปตบม้าที่อยู่ข้างกายของเขา "คนงาม วันนี้เกรงว่าข้าจะส่งเจ้ากลับไปไม่ได้แล้ว"

สีหน้าของแม่นางฉินคนนั้นขาวซีด "คุณชายนี่หมายความว่าอย่างไร?"

"ม้าของข้าได้รับบาดเจ็บเสียแล้ว" ฟู้เซียนจับไปที่บังเหียนแน่นด้วยมือเดียว "ข้าจะต้องรีบเอามันไปรักษาอาการบาดเจ็บแล้วล่ะ"

"คุณชาย..." หญิงสาวเรียกเขาอย่างแผ่วเบา เขาจะทิ้งตนเองไว้ท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้หรือ?

"หรือว่าแม้แต่สาวงามก็คิดที่จะไม่เชื่อฟังข้าเช่นนั้นหรือ?" ฟู้เซียนชำเลืองมองนางเล็กน้อย และในน้ำเสียงของเขาก็มีความอ่อนโยนปะปนอยู่เล็กน้อย

แต่ทว่าในคำพูดที่อ่อนโยนนี้ กลับทำให้สาวงามใบหน้าซีดเซียว ในที่สุดก็ต้องขบริมฝีปากเล็กน้อย และก้าวลงมาจากรถม้าโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

และฟู้เซียน ก็กระโดดเข้าไปในรถม้า จากนั้นก็สะบัดบังเหียนอย่างแผ่วเบา ม้าร้องขึ้นมาครั้งหนึ่ง แล้วควบออกไปไกลในทันที

...

เมื่อซูเมิ่งเยียนกลับมาถึงจวน ก็เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินพอดี

แสงสายัณห์ยามตะวันรอนในจวนนี้ มันสะท้อนให้เห็นถึงความสงบในอีกรูปแบบหนึ่ง

"คุณหนู วันนี้มันอันตรายเกินไปแล้วจริง ๆ ครั้งหน้าท่านได้โปรดอย่าทำเช่นนี้อีกเลยนะเจ้าค่ะ..." ชิวซวงเปิดประตูห้อง แล้วกล่าวกับซูเมิ่งเยียน

ซูเมิ่งเยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ใช่สิ ช่างอันตรายมากเกินไปแล้ว เมื่อครู่นี้ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดกัน เมื่อเห็นคนที่อันตรายเช่นนั้น ยังจ้องมองอย่างเหม่อลอยได้อีก แม้แต่ข้าที่แรกเจ้า เจ้ายังไม่ได้ยินเลย!"

"คุณหนูล้อข้าอีกแล้วนะเจ้าค่ะ!" ชิวซวงหน้าแดงระเรื่อ "เพียงแต่ว่า คุณชายเมื่อครู่นี้ช่างเกิดมาได้งดงามเสียจริง ๆ ข้าเห็นว่าไม่ได้ต่างไปจากท่านอ๋องเท่าไร!"

"ในเมื่อไม่ต่างจากท่านอ๋อง เหตุใดถึงไม่เห็นเจ้ามองเขาอย่างเหม่อลอยเช่นนี้บ้างเลยล่ะ?"

"ข้าน้อยมิกล้า..." ชิวซวงกล่าวเสียงอ่อน ถึงแม้ท่านอ๋องใช้สายตามองมาอย่างสบาย แต่นางกลับรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว จนไม่อาจยืนอย่างมั่นคงได้ เช่นนั้นนางยิ่งชื่นชมคุณหนู ที่กล้ากล่าวโทษกับท่านอ๋องได้

ในขณะที่ซูเมิ่งเยียนเปิดประตูห้องด้านใน ก็ยังคงไม่ลืมที่จะกล่าวหยอกล้อต่อว่า "ข้าว่า คงไม่มีอะไรที่เจ้าไม่กล้า..."

คำพูดสุดท้าย ถูกกลืนลงไปในลำคอทันที

นางจ้องมองไปยังชายที่ปรากฏตัวอยู่ภายในห้องของตนเอง เขาสวมชุดคลุมสีขาว ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยท่าทางเย็นชา รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งทื่อ แล้วค่อย ๆ จางหายไปทีละน้อย

"ท่านอ๋อง!" ชิวซวงอุทานเสียงเบา แล้วรีบแสดงความเคารพทันที

แต่ทว่ามู่เสี่ยวนั่งอยู่ตรงนั้น ด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ และไม่ได้ส่งสัญญาณให้ชิวซวงลุกขึ้นเลยแม้แต่น้อย "เหตุใดถึงกลับมาเร็วเช่นนี้ล่ะ?" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ แต่มันกลับเป็นการแดกดันอย่างชัดเจน นางทานอาหารเช้าออกไปเท่านั้น จนตอนนี้ก็ใกล้ที่จะพลบค่ำแล้ว

"ท่านอ๋อง เรื่องนี้จะโทษคุณหนูไม่ได้นะเจ้าค่ะ ระหว่างทางมานี้คุณหนูเกือบจะถูกรถม้าชน..."

"ชิวซวง" ซูเมิ่งเยียนขัดจังหวะนาง คำพูดนี้ ราวกับว่านางกำลังจะเรียกร้องความสนใจจากเขาอย่างไรอย่างนั้น

แววตาของมู่เสี่ยวหดแน่นขึ้น นางเกือบถูกรถม้าชนเช่นนั้นหรือ? เขาเหลือบมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ทั่วทั้งตัวกลับไม่เป็นไรเลย

"ท่านอ๋องอย่าไปฟังชิวซวงพูดเลยเจ้าค่ะ" ซูเมิ่งเยียนกล่าวอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็หันไปมองชิวซวงที่ยังคงคุกเข่าอยู่พลางกล่าวว่า "เอาล่ะ ชิวซวง เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ เจ้าไม่จำเป็นปรนนิบัติอยู่ที่นี่แล้ว!"

ชิวซวงเหลือบมองไปที่นางอย่างเป็นกังวล แต่เมื่อเห็นว่านางส่ายศีรษะ จึงได้ลุกแล้วเดินออกจากประตูไป

ซูเมิ่งเยียนจ้องมองไปที่เบื้องหลังที่เดินออกไปของชิวซวง แล้วหันหน้าไปปิดประตูห้องนอน จากนั้นก็เดินไปจนถึงหน้าโต๊ะ และก็เอาหลังมือไปสัมผัสบนแก้วชา ที่ยังคงอุ่นอยู่

ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางอธิบายกับคนรับใช้เหล่านั้นจะสมบูรณ์ดีแล้ว —— นางชอบดื่มน้ำอุ่น น้ำร้อนในห้องนี้จึงไม่เคยขาด

หลังจากที่นางหยิบแก้วชาออกมาสองใบ ก็ได้รินให้ตนเองแก้วหนึ่ง และรินให้กับมู่เสี่ยวอีกแก้วหนึ่ง จากนั้นก็วางไว้ตรงหน้าของเขา เมื่อซูเมิ่งเยียนนั่งได้ครู่หนึ่ง ก็ถามขึ้นมาอย่างเรียบเฉยว่า "ท่านอ๋องมีเรื่องอะไรหรือ?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน