อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน นิยาย บท 56

ท่านอ๋องมีธุระอย่างนั้นหรือ?

น้ำเสียงที่เรียบเฉย ปะปนความกระวนกระวายใจเล็กน้อย แต่ลักษณะท่าทางที่แสดงออก ราวกับว่า...ไม่อยากที่จะเผชิญหน้าอย่างสิ้นเชิง

สีหน้าของมู่เสี่ยวนิ่งขรึมทันที ไม่มีผู้ใดรับรู้ว่าเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้แล้ว ภายในใจจะรู้สึกเช่นไร

เริ่มตั้งแต่ตอนที่เถ้าแก่มอบเงินนั้นให้กับเขา ภายในใจของเขาก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว และเหล่าคุณชายนั้นก็ต้องการที่ไปจะอีกสถานที่หนึ่งเพื่อดื่มต่ออีกสองสามแก้ว แต่เขากลับบอกปัดแล้วกลับมาที่จวนอ๋องเพียงลำพัง

เขาเห็นอย่างชัดเจนว่านางเดินกลับจากตลาดแล้ว เดิมทีคิดว่านางจะกลับจวนมาเร็วกว่านี้ จึงได้จงใจที่จะชะลอการกลับจวนให้ช้าลงระหว่างทาง แต่ทว่าหากล่าช้ามากจนเกินไป ก็เกรงว่ามันจะดูเป็นจงใจมากไปเสียหน่อย

แต่ทว่า...นางก็ยังไม่ได้กลับมา

เงินที่อยู่ในมือนั้น กลับสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่มากขึ้น เช่นนั้นเขาจึงมารอที่นี่เลยก็แล้วกัน

เมื่อครู่นี้ ได้ยินสาวใช้บอกว่า นางเกือบที่จะถูกรถม้าชนเข้าแล้ว ภายในหัวใจก็รู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ หากให้พูดถึงความรู้สึก...ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้หวั่นไหวกับนาง และเหตุผลที่กระวนกระวายใจนั้นก็ยิ่งอธิบายไม่ได้ขึ้นไปอีก

แต่ทว่าแม้แต่เรื่องนี้กับไม่ยอมที่จะพูดออกมา ราวกับว่าต้องการที่จะขีดเส้นกับเขาให้ชัดเจนอย่างไรอย่างนั้น

ในตอนนี้ไม่นึกเลยว่านางจะถามเขาอย่างเรียบเฉยว่า "มีเรื่องอะไรหรือไม่?"

เขาพยายามที่จะระงับความโกรธที่พลุ่งพล่านในใจ แล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พลางถามนางว่า "เจ้าไปที่ใดมา?"

เนื่องจากที่เดิมทีแล้วมู่เสี่ยวยังคงเงียบอยู่ ในเวลานี้ซูเมิ่งเยียนจึงได้กำลังจิบน้ำร้อนอยู่ และเมื่อได้ยินคำพูดของเข้า ก็ทำให้นางเหลือบมองไปบริเวณโดยรอบในทันที

“มองอะไรอย่างนั้นหรือ?” มู่เสี่ยวขมวดคิ้ว

"ท่านอ๋อง ตอนนี้มีเพียงแค่พวกเรา ไม่มีบุคคลที่สาม ท่านอ๋องไม่จำเป็นที่จะต้องใช้น้ำเสียงที่เป็นกังวลเช่นนั้นสอบถามข้าไปไหนมาหรอกหรอก" ซูเมิ่งเยียนกล่าวขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมา

สีหน้าของมู่เสี่ยวยิ่งบูดยิ่งมากขึ้นอีก นำเสียงก็เย็นชาลงอย่างฉับพลัน "ออกไปนอกจวนมาหรือ?"

นี่สิถึงจะเป็นเขา! ความคิดเช่นนี้แวบขึ้นมาในใจของซูเมิ่งเยียน น้ำเสียงนุ่มนวลที่แฝงไปด้วยความห่วงใยของคนเมื่อครู่นี้นั้น มันไม่ใช่มู่เสี่ยว

"ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องเห็นหมดแล้วเช่นนั้นหรือ?" ซูเมิ่งเยียนวางแก้วชาในมือลงบนโต๊ะ แต่กลับกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดหลังจากที่พูดจบก็กล่าวว่า "ท่านอ๋องโปรดวางใจ วันนี้ที่ท่านพบที่ตลอด มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ข้าไม่ได้ติดตามประกอบท่านไป"

ถึงแม้ในใจของเขา ตนเองนั้นมักจะคอยตามหลอกหลอนอยู่เสมอ แต่ทว่าก็มีบางคำ อธิบายให้ชัดเจนดีกว่า

เพียงแต่...ถึงแม้ว่านางจะอธิบายอย่างชัดเจนดีแล้ว แต่ทว่าดูเหมือนใบหน้าของมู่เสี่ยวกลับบูดบึ้งมากยิ่งขึ้นไปอีก

อธิบายอย่างร้อนอกร้อนใจเช่นนี้ ราวกับว่า...กลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดเท่านั้น

"หวางเฟยโปรดวางใจ" มู่เสี่ยวยกแก้วชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง เพื่อระงับความโกรธที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ แล้วหยิบเงินสิบตำลึงที่อยู่ในแขนเสื้อออกมาแล้วโยนไว้บนโต๊ะ "เรื่องที่หวางเฟยให้คนเอาเงินสิบตำลึงนี้มาคืนได้พิสูจน์แล้ว"

หากว่านางติดตามเขาจริง ๆ แล้วละก็ คงจะไม่จำกัดขอบเขตกับเขาอย่างร้อนอกร้อนใจ และคงจะไม่แสร้งทำท่าทางเป็นไม่รู้จักเขาอย่างแน่นอน ทั้งคงจะไม่...หยุดยิ้มทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของเขาหรอก

ในที่สุดเขานึกถึงประโยคที่แม่ทัพหนุ่มหวางกล่าวขึ้นนั้นได้อย่างชัดเจนแล้วว่า "เมื่อยิ้มแล้วดูงดงามมาก" 

เพียงแต่ว่า...นับตั้งแต่เมื่อไรกัน ในตอนที่นางมองเขา กลับไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไปแล้ว? จนกระทั่ง...แม้แต่ใบหน้ายิ้มแย้มของนางเขาก็ไม่ได้เห็นมานานมากแล้วเช่นกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ตอนที่เปิดประตูมาเมื่อครู่นี้ นางยังคงยิ้มแย้มกับชิวซวงจนถึงช่วงสุดท้าย แต่ทว่าเมื่อเห็นเขารอยยิ้มกลับขาดหายไปทันที มีแค่เพียงความระมัดระวังต่างฝ่ายตรงข้ามเพียงเท่านั้น

ซูเมิ่งเยียนมองไปที่เงินที่ถูกทิ้งไว้ตรงหน้าของตนเอง แล้วมองไปทางเขาอย่างไม่เข้าใจ "ที่ท่านอ๋องมาที่นี่ เพื่อจะมอบเงินเหล่านี้ให้ข้าหรือ?"

มู่เสี่ยวนิ่งงั้นไป

"เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นหรอก" ซูเมิ่งเยียนค่อย ๆ ดันเงินไปทางเขา "ระหว่างพวกเราทั้งสอง แบ่งแยกกันให้ชัดเจนหน่อยจะเป็นการดีที่สุด"

แบ่งแยกให้ชัดเจน

ทั้งสี่คำนี้ ไม่รื่นหูมากเป็นพิเศษ

มู่เสี่ยวหรี่ตาลง เขาต้องโดนผีหลอกถึงได้ไปซื้อเกาลัดจากคนอื่นมาให้นาง ถึงได้กลับมาที่จวนเพื่อยินคำพูดที่แสนจะเย็นชาของนาง และยิ่ง...ที่ไม่พอใจเช่นนี้

"ก็ถูก ตระกูลซูร่ำรวย เจ้าจะมาขาดเงินเพียงเท่านี้ได้อย่างไร" เข้าจ้องเขม็งไปที่นาง และกล่าวออกมาอย่างตั้งใจ

แววตาของซูเมิ่งเยียนสั่นไหวเลยจริง ๆ

เมื่อก่อน นางก้ไม่ชอบให้กล่าวคำว่าตระกูลซูร่ำรวยนี้เลย

นางรู้ว่าเป็นเพราะท่านพ่อของนางมู่เสี่ยวถึงได้แต่งงานกับนาง แต่นางคิดอยู่เสมอว่า ตราบใดที่ไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ที่อยู่เบื้องหลัง แค่เพิกเฉย ที่เขาแต่งงานกับนาง เพราะมีความรู้สึกกับนางหน่อยหรือไม่?

แต่ทว่าตอนนี้ กลับไม่ชอบอีกต่อไปแล้ว

"ท่านอ๋องกล่าวถูกต้องแล้ว" ซูเมิ่งเยียนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วหัวเราะอย่างแผ่วเบา "ตระกูลซูจะต้องไม่ขาดแคลนเงินเหล่านี้อย่างแน่นอน"

ทันทีที่พูดคำนี้จบ สีหน้าของมู่เสี่ยวสว่างไสวอย่างผิดปกติขึ้นมาอีกครั้ง เขาจ้องเขม็งไปที่นาง แล้วคิดที่จะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไร

"ที่ท่านอ๋องมาหาข้าถึงที่นี่ตอนนี้ ก็เพื่อเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้เองหรือ?" เมื่อเห็นว่าเขาไม่กล่าวอะไรเป็นเวลานาน และก็ไม่ยอมจากไปเสียที จนในที่สุดซูเมิ่งเยียนก็ทนไม่ไหว จนซักถามขึ้นมาอีกครั้ง

มู่เสี่ยวเงยหน้าขึ้น แล้วสบเขากับดวงตาที่สดใสของนาง หัวใจของเขาหยุดชะงัก และรีบคืนสติในทันที

นี่เขากำลังทำอะไรอยู่?

ซักไซ้เอาความหรือ? หึงหวงอย่างนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร!

หากว่าเป็นเช่นนี้ แม้แต่ตนเขาเองก็คงไม่อาจโน้มน้าวได้แล้ว

จากสีหน้าที่แปลกประหลาดก็ควบแน่นลงในทันที แม้แต่คิ้วและดวงตาก็เพิ่มความเงียบสงัดขึ้นไม่น้อย เมื่อครู่นี้ยังมีร่องรอยของอารมณ์ภายในแววตา แต่ในขณะนี้กลับไม่มีช่องโหว่เลย

ซูเมิ่งเยียนสังเกตเขา นี่คือมู่เสี่ยว เขามักที่จะสามารถควบคุมความรู้สึกของตนเองได้เสมอ

ถึงภายในใจของเขาจะโกรธมาก แต่ก็พยายามพูดคุยอย่างสนุกสนานได้ และอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่สุดท้ายแล้วกลับยังมีใบหน้าที่สงบนิ่งได้อยู่

และนางก็ไม่มีวันที่จะเข้าใจความคิดที่แท้จริงของเขาได้

"แป๊ะ——" มู่เสี่ยวทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ตรงหน้าของนาง

"สิ่งนี้คืออะไร?" ซูเมิ่งเยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเหลือบมองไปทางมู่เสี่ยว แต่เขาก็ไม่มีสัญญาณที่จะอธิบายโดยสิ้นเชิง

หลังจากที่ถอนสายตาออกมา นางก็หยิบจดหมายในมือขึ้นมาเปิดออกอย่างช้า ๆ 

บนนั้นมีเพียงแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น

เป็นจดหมายที่ออกมาจากพระราชวัง ที่วังหลังแห่งนั้น นางรู้จักเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

ฮัวหย้วน

กล่าวโดยสรุปแล้ว ที่วังหลังนั้นเงียบเหงาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะมีสตรีเพียงน้อยนิด องค์หญิงและองค์ชายมากมายจะอยู่ด้านนอก ย่อมหลีกเลี่ยงความรกร้างมิได้ และมู่เสี่ยวที่พึ่งจะแต่งงาน ก็นางก็เป็นสมาชิกของราชวงศ์ ฮัวกุ้ยเฟยจึงเชิญนางเข้าไปในวังพบกัน เพื่อพบปะพูดคุยอย่างใกล้ชิดกัน

จดหมายนี้ดูจริงใจเป็นอย่างมาก หากไม่รู้ ต่างก็คงคิดว่าฮัวกุ้ยเฟยรักใคร่ซูเมิ่งเยียนคนนี้มากมายเพียงใด

ซูเมิ่งเยียนส่งเสียงฮึดฮัดอย่างแผ่วเบา แล้วมองไปทางมู่เสี่ยว "เอาจดหมายนี้มาตั้งแต่เมื่อไรกัน?"

"ก่อนที่เจ้าจะกลับมาไม่นาน" มู่เสี่ยวไม่ได้กล่าวว่า เนื่องจากจดหมายฉบับนี้ ถึงได้เป็นเหตุผลที่เขามาปรากฏตัวอยู่ในห้องนอนของนางตอนนี้ "ในจดหมายนั้นเขียนว่าอย่างไรบ้าง?" เขาถามขึ้น

"ท่านอ๋องยังไม่ได้ดูเช่นนั้นหรือ?" ซูเมิ่งเยียนถามกลับ

มู่เสี่ยวขมวดคิ้วมุ่น

ซูเมิ่งเยียนนึกขึ้นมาได้ว่า คนอย่างมู่เสี่ยว ถึงแม้ว่าจะต่อสู้เพื่ออำนาจ แต่กลับเป็นคนที่มีหลักการสูงส่ง หากไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากนัก และเขาจะไม่ค่อยสนใจจดหมายคนอื่นเท่าไหร่

"ท่านน่าจะชอบนะ" ซูเมิ่งเยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

คิ้วของมู่เสี่ยวขมวดมุ่นมากยิ่งขึ้น เขาไม่ชอบรอยยิ้มที่ปะปนไปด้วยร่องรอยของความลุ่มลึกและแดกดันของนางเช่นนี้เลย "เกี่ยวกับฮัวหย้วนหรือ?"

คิ้วของรอยยิ้มของซูเมิ่งเยียนยิ้มกว้างมากขึ้นอีก "ดูข้าสิ ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย ท่านอ๋องก็คาดเดาออกมาได้แล้ว"

แน่นอนว่า นี่สามารถเป็นเรื่องที่เขาเต็มใจยอมรับได้ว่า "ชอบ" คงจะมีเพียงแค่ฮัวหย้วนแล้วล่ะ

สีหน้าของมู่เสี่ยวบูดบึ้ง "นี่เป็นจดหมายที่มาจากในพระราชวัง หากเป็นจักรพรรดิ พระองค์ก็จะมอบราชโองการลับหรือพระราชกฤษฎีกาเป็นการส่วนตัว จดหมายเช่นนี้ก็มีเพียงแต่เหล่าวังหลังเขาใช้กัน และที่วังหลัง..." ซูเมิ่งเยียนรู้จักเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

คำพูดด้านหลังนั้น กลับหายไปจากริมฝีปากของเขา

มู่เสี่ยวมองไปทางซูเมิ่งเยียน และนางกำลังมองเขาพอดี แต่ดูเหมือนว่าจะมองคนผ่านเขาเสียมากกกว่า

หลังจากที่ผ่านไปนาน นางก็บ่นพึมพำว่า "คำพูดเหล่านี้ ท่านเคยพูดมาก่อนนี่..."

ในชีวิตที่แล้ว ครั้งแรกที่ฮัวหย้วนเรียกนางเข้าไปในวัง และนางก็ยังไม่รู้ว่านางเป็นคนในหัวใจของมู่เสี่ยว จึงได้อ่านข้อความในจดหมายให้กับมู่เสี่ยวได้ฟัง หลังจากที่มู่เสี่ยวฟังที่นางพูดจบแล้ว ก็เดาออกว่าเป็นฮัวหย้วน ซูเมิ่งเยียนถามเหตุผลกับเขา และเขาก็พูดออกมาแบบนี้เช่นกัน

ในเวลานั้นคิดเพียงแค่เขาฉลาดหลักแหลม และมีไหวพริบ แต่ทว่าตอนนี้พึ่งคิดขึ้นได้ว่า บางทีมันอาจจะเพราะมีความเกี่ยวข้องกับคำว่า "ฮัวหย้วน" ก็ได้

มู่เสี่ยวขมวดคิ้วมุ่น อยู่เบื้องหย้า

เขาจำได้อย่างชัดเจนว่า คำเหล่านี้ เขาไม่เคยพูดมาก่อนเลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน