อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน นิยาย บท 59

ภายในห้องนางเงียบสงัด

ซูเมิ่งเยียนเหล่ตามองไปที่เปลวเทียนขนาดเท่าเมล็ดถั่วที่อยู่บนโต๊ะนั้น แสงเงาสลัว และเงาร่างของมู่เสี่ยวก็ส่องสะท้อนอยู่บนหน้าต่าง รูปร่างสูงใหญ่เป็นที่สุด

นางถามว่า เขาเชื่อนางหรือไม่

แต่เขาก็ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด

อันที่จริงแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตอบกลับมาแล้ว ภายในใจของนางรู้ดีว่าเขามีความคิดเช่นไร

มันไม่มีอะไรมากไปกว่า...ไม่เชื่อเท่านั้น

"ข้ารู้แล้ว" ในที่สุด นางก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า และเปลี่ยนตำแหน่งของเปลวเทียนที่ด้านข้าง เนื่องจากเปลวเทียนที่อยู่ข้างกายมู่เสี่ยวนั้น ทำให้ภายในใจของนางรู้สึกหนักอึ้งอยู่เสมอ

มู่เสี่ยวสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของนาง และเม้มปากไม่กล่าวอะไรออกมา

"ท่านอ๋องยังมีอะไรอยากจะพูดอยู่อีกหรือไม่?" เขายังคงไม่ออกไปไหน และซูเมิ่งเยียนก็ไม่ได้มีอารมที่จะพักผ่อนอีกต่อไปแล้ว จึงค่อย ๆ เงบหน้าขึ้น แล้วกล่าวถามเขา

คิ้วของมู่เสี่ยวขมวดแน่น

"หรือจะบอกว่า ท่านอ๋องต้องการให้ข้าเข้าไปรับสารภาพผิดในพระราชวังเช่นนั้นหรือ?" ซูเมิ่งเยียนบ่นพึมพำกับตนเอง

ในที่สุดครั้งนี้มู่เสี่ยวก็มีการตอบสนองกลับมาเสียที เขาเหลือบมองไปที่นาง จากนั้นก็หันหน้าเดินออกไปจากห้องด้วยความรวดเร็ว ชุดคลุมสีขาวของเขาสะบัดเงาสีขาวท่ามกลางความมืดสลัว ช่างเย็นชายิ่งนัก

ประตูห้องได้เปิดและปิดลงไปอีกครั้ง

ซูเมิ่งเยียนนั่งอยู่ข้างโต๊ะอย่างเงียบเฉียบ จากนั้นก็หยิบแก้วชาบนโต๊ะขึ้นมา ถึงแม้ว่าชานั้นจะเย็นชืดไปแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ตระหนักถึงมันแต่อย่างใด และก็เงยหน้าดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง แล้วสติก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมาไม่มากเลยทีเดียว

ชีวิตที่แล้ว นางเพียงแค่เคยได้ยินมาว่าพระสนมฮัวหย้วนกุ้ยเฟยนั้นงดงามจนล่มเมืองได้ และตอนที่ได้รู้ความจริงว่านางคือคนที่อยู่ในใจของมู่เสี่ยว ก็เป็นเรื่องหลังจากที่แต่งงานมามากกว่าหนึ่งปีแล้ว

เช่นนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นบนร่างกายของฮัวหย้วน นางจะต้องไม่รู้อยู่แล้ว และชีวิตที่แล้วฮัวหย้วนเสียโฉมหรือไม่ นางก็ยิ่งไม่รู้เลย

ความคิดของนางสับสน นางก็นอนลงบนเตียง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หลับไม่ลงอยู่ดี

สายตาที่เคลือบแคลงใจของมู่เสี่ยวและข้อมูลการเสียโฉมของฮัวหย้วนเมื่อครู่นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ภายในหัวของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เขาไม่เคยที่จะเชื่อใจนางเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฮัวหย้วน เขาก็ยิ่งไม่แม้แต่จะลังเลที่จะมาคิดบัญชีกับนางเลยแม้แต่น้อย

แม้แต่ความลังเลเขาก็ไม่มี...

วินาทีต่อมา ซูเมิ่งเยียนก็ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงในทันที

ภายในสมองของนางมีความคิดถึงแวบเข้ามา และได้ถูกนางจับไว้ได้แล้ว

ในชีวิตที่แล้ว หลังจากที่ทั้งสองคนแต่งงานแล้วสองสามเดือน และมู่เสี่ยวก็ยังคงถูกเรียกว่า "อ๋องแห่งความเกียจคร้าน" อยู่ เขาก็ใช้ชีวิตอย่างพักผ่อนทุกวี่ทุกวัน

ตอนนั้นนางได้เค้นสมองเพื่อครอบครองรอบกายเขาไว้ และทนรอไม่ไหวที่จะอยู่ข้างกายเขาอยู่ตลอดเวลา แต่มีอยู่วันหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น อยู่ ๆ มู่เสี่ยวก็เปลี่ยนไปเป็นคนที่ดูยุ่งวุ่นวายขึ้นมา

ในช่วงเวลานั้น ซูเมิ่งเยียนยากมากที่จะได้เห็นเงาของมู่เสี่ยวอยู่ในภายในจวนอ๋อง แม้ว่าจะได้พบ แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะมองมาที่นาง ทั้งยังรีบร้อนเดินผ่านไปอีกด้วย

ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง นางป่วยเป็นหวัด และนางก็สั่งให้ชิวซวงไปเชิญมู่เสี่ยวให้มาเยี่ยมนาง แต่เขากลับปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า และเมื่อตอนที่นางใกล้จะหายดี เขาถึงมาพบนาง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางเป็นปกติดี เขาก็หันตัวจากไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินชิวซวงกล่าวว่า มีหมอคนแล้วคนเล่าถูกเชิญมาที่จวนอ๋อง นางก็ยังเคยแอบดีใจเลยด้วยซ้ำ คิดไปว่ามู่เสี่ยวหาหมอมาเพื่อนาง และอยากจะบอกเขาว่า อาการหวัดของนางหายดีแล้ว แต่กลับได้ยินเขาสั่งกับหมอเหล่านั้นว่าให้ศึกษาพิษที่เรียกว่า "หยานกู่" จากนั้นก็ได้ให้ปรุงยาเพิ่มเสริมความงามขึ้นมา

และเขา ก็ได้เข้าไปในพระราชวังครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากนั้น สุดท้ายแล้วเขาก็ได้ไปยังวัดชิงซานที่อยู่ในเขตชานเมือง และไปหาปรมาจารย์คงเจี้ยนเพื่อหาครีมขวดหนึ่ง แล้วคลายความร้อนใจของเขา

เช่นนั้นซูเมิ่งเยียนจึงเข้าใจได้อย่างชัดเจน นั่นก็เป็นเพราะ...ที่วัดชิงซานนั้น ก็ยังเป็นนางขอไปเป็นเพื่อนกับเขาเอง แล้วนางยังไปที่พระราชวังเป็นเพื่อนเขา แต่ก็เพียงแค่รอเขาอยู่ที่หน้าประตูวังเท่านั้น เขาเข้าไปเพียงผู้เดียว

หลังจากที่รอมามากกว่าหนึ่งชั่วยาม เขาถึงจะออกมา และเพราะไปๆ มาๆ เป็นเวลาหลายวัน เขาก็เหน็ดเหนื่อยและหลับตาพิงอยู่ภายในรถม้า

และนางก็ได้ถามเขาอย่างระมัดระวังว่า "มู่เสี่ยว ยาขวดนั้นท่านเอาไปให้ผู้ใดหรือ?" นางในตอนนั้น ถึงแม้จะยังไม่รู้ความรู้สึกที่เขามีต่อฮัวหย้วน แต่กลับมองความใส่ใจของเขาออก

มู่เสี่ยวตอบกลับมาว่าอย่างไรกันนะ...

ซูเมิ่งเยียนอดที่จะเหล่ตาไปมองเขาไม่ได้

เขาตอบกลับมาเพียงแค่ว่า "มีคนในวังได้รับบาดเจ็บ และเขาก็ได้รับสั่งให้เป็นคนหายาเท่านั้น"

แต่ทว่าภายในพระราชวังนั้น คนที่เขาให้ความห่วงใยนั้นมีน้อยมาก และตอนนี้เมื่อลองครุ่นคิดดูแล้ว ก็มีเพียงแค่ฮัวหย้วนผู้เดียว...

ที่จริงแล้ว ในชีวิตที่แล้วฮัวหย้วนเคยเสียโฉมมาก่อนหรือไม่?

หรือว่า...ยาพิษที่ทำให้ฮัวหย้วนต้องเสียโฉมในครั้งนี้ ก็ยังคงเป็น "หยานกู่" เช่นนั้นหรือ?

สุดท้ายแล้วซูเมิ่งเยียนก็ไม่มีความง่วงอีกต่อไป และนางก็ตาสว่างจนถึงรุ่งเช้า

...

เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ามืดสลัวเล็กน้อย เนื่องจากไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ทำให้ซูเมิ่งเยียนรู้สึกมีอาการปวดหัวเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ชิวซวงยกสำรับอาหารเช้ามาให้นางเรียบร้อยแล้ว ศีรษะของนางก็ยิงปวดขึ้นอีก ทั้งจมูกของนางก็ยังอึดอัดอยู่เล็กน้อย รวมไปถึงเสียงที่อู้อี้ของนางด้วย

"คุณหนู ภายในห้องนี้ก็ยังไม่ได้หนาวเกินไป เหตุใดถึงมีอาการหวัดได้ล่ะเจ้าคะ?" ชิวซวงได้ยกเอาชามใส่น้ำร้อนมาให้นาง "ประเดี๋ยวข้าจะไปหาท่านหมอเพื่อเอายามาให้..."

ผู้พูดไม่คิดอะไร แต่ผู้ฟังกลับคิด

เมื่อซูเมิ่งเยียนได้ยินว่า "อาการเป็นหวัด" แล้ว ภายในหัวใจก็มีเสียงดัง "ตึกตัก" ขึ้นมา

เมื่อกับชีวิตที่แล้วอย่างไรอย่างนั้น ในตอนที่นางติดโรคหวัด มู่เสี่ยวก็กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้นหายาเสริมความงามอยู่

"ชิวซวง เจ้าช่วยข้าสักเรื่องซิ" ซูเมิ่งเยียนรับเอาน้ำร้อนมา จากนั้นก็รีบดื่มแล้วกล่าวว่า "เจ้าไปที่เรือนหน้าแล้วไปสอบถามมาให้ข้าหน่อย ดูว่าช่วงนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาบ้างหรือไม่"

หากว่า...มู่เสี่ยวหาหลายคนเข้ามาในจวนมากมายเหมือนชีวิตที่แล้วจริง ๆ เช่นนั้น...นางก็สามารถที่จะสรุปได้ตามพื้นฐานแล้ว ว่ามันเหมือนกับชีวิตที่แล้วอย่างแน่นอน

แม้ว่าชิวซวงจะไม่เข้าใจความคิดของนาง แต่ก็ยังไปตรวจสอบที่เรือนหน้าให้อยู่ดี

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน นางก็กลับมาแล้ว

แน่นอนว่ามันเป็นไปตามที่ซูเมิ่งเยียนได้คาดการณ์ไว้เช่นนั้น ที่เรือนหน้ามีหมออยู่สี่ห้าคน

"คุณหนู หรือว่าท่านอ๋องจะรู้ว่าท่านป่วยเป็นหวัด เช่นนั้นถึงได้เชิญหมอมาหรือไม่เจ้าคะ?" ชิวซวงกล่าวอย่างคาดเดาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

สีหน้าของซูเมิ่งเยียนไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ได้แต่ยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ ในชีวิตที่แล้วนั้นนางก็คิดไปเอง ผลที่ได้ก็คือคนอื่นกลับไม่เคยใส่ใจนางมาก่อนเลย

ชีวิตนี้ เรื่องเช่นนี้ นางจะไม่ทำมันอีกต่อไปแล้ว

"อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย" นางตำหนิชิวซวงอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็หรี่ตาแล้วครุ่นคิดอยู่อีกครู่หนึ่ง ถึงแม้จะยืนยันในใจได้แล้วว่ามีความตรงกับชาติที่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องการที่จะไปดูสักหน่อยว่าบนใบหน้าของฮัวหย้วนนั้นบาดเจ็บอย่างไร มิเช่นนั้น...ถึงจะเอายามาได้แล้วจริง ๆ คงจะไม่อาจเอาชนะจิ้งจอกแล้วยังไปก่อเรื่องให้วุ่นวายมากขึ้นไปอีก

"ชิวซวง" เมื่อคิดได้เช่นนี้ สติของซูเมิ่งเยียนก็มรแรงมากขึ้นมาไม่น้อย "เจ้าไปที่เรือนหน้าแล้วเชิญท่านอ๋องมา บอกว่า..." เรื่องของเมื่อคืนวานนี้ ข้ามีวิธีการแล้ว

ประโยคที่อยู่ด้านหลัง ซูเมิ่งเยียนยังไม่ทันที่จะได้กล่าวออกมา แววตาทั้งสองของชิวซวงก็เป็นประกายขึ้นมาเสียแล้ว "ข้าน้อยจะไปเช็ญท่านอ๋องมาเดี๋ยวนี้เลยเจ้าคะ!" พูดจบนางก็รีบหมุนตัวเดินจากไป

ซูเมิ่งเยียน : "..."

สุดท้ายแล้ว ก็ต้องนวดตรงระหว่างคิ้ว เหตุผลด้วยคำพูดนี้ของชิวซวง หากสามารถพามู่เสี่ยวมาได้ก็คงเห็นผีแล้ว

แน่นอนว่ายังไม่ทันจะได้ดื่มชาไปถึงครึ่งแก้ว ชิวซวงก็ต้องกลับมาอย่างพ่ายแพ้ "ท่านอ๋องกล่าวว่าเขากำลังยุ่งอยู่ หากคุณหนูไม่สบาย...ก็บอกท่านหมอของจวนสั่งยามาให้..."

ซูเมิ่งเยียนรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ภายในใจก็ไม่โกรธเคืองเลย กลับนิ่งสงบมาก เนื่องจากเรื่องนี้เพียงแค่เกิดซ้ำเหมือนชีวิตที่แล้วเท่านั้นเอง

และก็ไม่ให้ชิวซวงจะต้องวิ่งไปวิ่งมา ซูเมิ่งเยียนลุกยืนขึ้น ศีรษะก็ยังคงวิงเวียนอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ทว่านางก็ยังคงพยายามสงบนิ่งลง จากนั้นก็เดินไปยังเรือนหน้าด้วยตนเอง

"คุณหนู..." ชิวซวงรีบร้อนมาช่วยประคองนางเอาไว้

ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว ภายในสวนมีใบไม้ร่วงลงมาอยู่ไม่น้อยเลย เมื่อตอนที่ซูเมิ่งเยียนมาถึงเรือนหน้า ก็สังเกตเห็นถึงความแตกต่างที่ไม่ได้เงียบสงบเหมือนก่อนหน้านี้เลยจริง ๆ วันนี้มีคนเยอะมากมายเสียจริง

มู่เสี่ยวอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ โดยที่ทั้งสองฝั่งนั้น ก็เห็นว่ามีกลุ่มหมอที่สวมชุดสีเขียวกำลังห้อมล้อมเพื่อพูดคุยเรื่องอะไรบางอย่างอยู่

หลังจากที่ซวนหยวนเข้าไปรายงาน มู่เสี่ยวขมวดเล็กน้อย แต่ก็ยังลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป

ในทางเดินยาวข้างนอกห้องโถงใหญ่ ซูเมิ่งเยียนถูกชิวซวงประคองเดินมาช้า ๆ ใบหน้าค่อนข้างขาวซีด ทั้งใต้ตาก็ยังมีสีดำเล็กน้อยอีกด้วย

ดวงตาของมู่เสี่ยวหรี่ลงเล็กน้อย นางป่วยอย่างที่สาวใช้ได้บอกจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? บังเอิญเช่นนี้เลยหรือ?

"ท่านอ๋อง" ด้วยน้ำเสียงของซูเมิ่งเยียนราบเรียบ ได้ทำลายความคิดของเขา

มู่เสี่ยวมีสติกลับมาอย่างฉับพลัน แววตาที่เคยตกอยู่ในภวังค์เมื่อครู่นี้จ้องเขม็งขึ้นมาทันที "หวางเฟยมีเรื่องอะไรหรือ?" สุดท้ายแล้วก็อยู่ภายนอก น้ำเสียงของเขาช้ากว่าเมื่อคืนวานเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วก็ยังเย็นชาอยู่ดี

นางมีเรื่องอะไรกันแน่?

เพียงแค่ป่วยแล้วทำให้ทำท่าน่าเวทนาเท่านั้นเอง

แต่กลับไม่คาดคิดว่า ซูเมิ่งเยียนจะพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า "ข้าอยากที่จะเข้าเฝ้าพระสนมกุ้ยเฟย"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน