อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน นิยาย บท 60

ในที่สุดมู่เสี่ยวก็ได้พานางเข้าไปในพระราชวัง

ตลอดทาง พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้พูดกันเลยสักคำ ซูเมิ่งเยียนพิงผนังเก้าอี้เสลี่ยงและหลับตาเพื่อพักผ่อน ส่วนมู่เสี่ยวนั้นเหลือบมองนางเป็นระยะ เมื่อเห็นว่านางไม่ได้เรียกร้องความสนใจ แน่นอนว่าเขาจะต้องไม่พูดอะไรอยู่แล้ว

เมื่อมาถึงวังหลัง เนื่องจากว่ามู่เสี่ยวเป็นผู้ชายและไม่ได้มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า จึงได้แต่รออยู่ที่นอกประตูวัง และมีเพียงซูเมิ่งเยียนผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าไปพบกับฮัวหย้วน

ฮัวหย้วนไม่ได้อยู่ในห้องโถง แต่อยู่ภายในห้องนอน ที่กั้นด้วยผ้าม่านบาง ๆ ผืนหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็มีเสียงแก้วชาใบหนึ่งแตก "ออกไปจากตำหนักข้าให้หมด!"

ขันทีและเหล่านางกำนัลต่างก็คุกเข่าด้วยความหวาดกลัวอยู่ด้านข้าง ภายในมือของแต่ละคนต่างก็ถือกล่องอาหารเอาไว้ ด้วยร่างกายที่สั่นเทา

ขันทีน้อยได้เดินนำซูเมิ่งเยียนอยู่ด้านหน้า "พระสนมกุ้ยเฟย หวางเฟยหย่งอันขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"

ภายในผ้าม่านนั้น เงียบสงบลงไปครู่หนึ่ง เป็นเวลานาน กว่าฮัวหย้วนจะส่งเสียงที่แหบแห้งเล็กน้อยออกมา "แม่นางซูมาดูเรื่องตลกของข้าเช่นนั้นหรือ?"

"หามิได้เพคะ" ซูเมิ่งเยียนชะงักไปขณะหนึ่ง จากนั้นจึงถอยหลังไปครึ่งก้าว จากนั้นก็โค้งคำนับเล็กน้อย "ถวายบังคมพระสนมกุ้ยเฟย"

"..." หลังจากที่เงียบสงัด ในที่สุดฮัวหย้วนก็เริ่มที่จะสงบลง จากนั้นนางก็โบกมือพลางกล่าวว่า "ออกไปให้หมด"

ทุกคนต่างรีบโค้งคำนับ และเดินออกไปด้านนอก

ผ้าม่านนั้นสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นฮัวหย้วนก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา "เข้ามา"

ซูเมิ่งเยียนก็ยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไป

เพียงได้เห็นฮัวหย้วนก็ต้องชะงักไปในทันที นางไม่ได้โกหก และนางก็เสียโฉมไปแล้วจริง ๆ บนใบหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยผื่นแดง และผื่นแดงบางส่วนก็กลายเป็นสีดำแล้ว พวงแก้มของนางไม่เหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว

เป็นหยานกู่นี่เอง

ซูเมิ่งเยียนจ้องมองไปที่รอยผื่นแดงเหล่านั้น ตอนที่นางจะมาได้เคยถามหมอมาก่อน และอาการของหยานกู่ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

"เจ้าพอใจแล้วหรือยัง?" น้ำเสียงของฮัวหย้วนหงุดหงิดเล็กน้อย

"มิกล้า" ซูเมิ่งเยียนรีบก้มหน้าอย่างรวดเร็ว

"แม่นางซูก็ไม่กล้าเช่นนั้นหรือ?" น้ำเสียงของฮัวหย้วนแผ่วเบา " ขนาดบังคับให้คนอื่นแต่งงานต่หน้าสาธารณะยังทำออกมาได้เลย..." เสียงของนางหยุดลงทันที เมื่อสังเกตเห็นถึงความชัดเจนในน้ำเสียงของตนเอง นางจึงพูดต่อจากเมื่อครู่นี้อย่างเชื่องช้า "เจ้าเข้าวังมาเพราะเหตุใด?"

"หม่อมฉันมาเยี่ยมพระสนมเพคะ และ..." ซูเมิ่งเยียนเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า "มีคนสงสัยหม่อมฉันว่าเป็นผู้วางยากุ้ยเฟย เป็นทำให้กุ้ยเฟยเสียโฉมเพคะ"

"โอ้?" ฮัวหย้วนถามกลับไปว่า "ผู้ใดสงสัยหรือ?"

“มู่เสี่ยวเพคะ”

"..." ครั้งนี้ ฮัวหย้วนเงียบไปทันที เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็บ่นพึมพำออกมา "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังคงปิดบังเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ..."

"กุ้ยเฟย?" น้ำเสียงของฮัวหย้วนแผ่วเบา ทำให้ซูเมิ่งเยียนได้ยินไม่ชัดเท่าไรนัก

สติของฮัวหย้วนกลับมาทันที "อย่าว่าแต่มู่เสี่ยว ข้าก็ยังสงสัยอย่างนี้เช่นกัน แม่นางซู"

ซูเมิ่งเยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

"แต่อย่างไรก็ตาม" ฮัวหย้วนกลับคิดถึงอะไรบางอย่าง และหันไปมองด้านข้าง "การเสียโฉมในครั้งนี้ มู่เสี่ยวก็ยังคงส่งยามาให้ข้าถึงที่นี่อยู่ทุกวี่ทุกวัน เท่านี้ก็ใส่ใจมากแล้ว"

ซูเมิ่งเยียนไล่สายตามองตามนางไป จากนั้นก็มองเห็นขวดกระเบื้องเคลือบสวยงามเรียงรายอยู่เป็นทิวแถว ทั้งหมดนั่นก็คงเป็นมู่เสี่ยวที่ส่งมาซินะ

"แม่นางซู" ฮัวหย้วนเรียกนางด้วยชื่อ และจ้องมองไปที่ตาของนาง "นี่เป็นเหตุผลที่ข้าไม่ได้ลงโทษเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพียงแค่เสียดาย ที่ไม่สามารถกินขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นพวกเกาลัด หรืออัลมอนด์..."  

เพราะว่าได้รู้สึกซาบซึ้งความเอาใจใส่ของมู่เสี่ยวเช่นนั้นหรือ?

ในที่สุดซูเมิ่งเยียนก็เข้าใจได้แล้ว ฮัวหย้วนเพียงแค่ต้องการที่จะพิสูจน์ว่า เรื่องที่มู่เสี่ยวซื้อเกาลัดให้นางไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เป็นเพียงแค่การแสดงน้ำใจเป็นบางครั้งคราวของเขาเท่านั้น

ซูเมิ่งเยียนและฮัวหย้วน ระหว่างทั้งสองคน มู่เสี่ยวทำการเลือกได้ทันทีโดยไม่ต้องลังเล

และในความเป็นจริงแล้ว เขาก็ทำการเลือกแล้ว คือฮัวหย้วน

"ขอบพระทัยพระสนม" ซูเมิ่งเยียนหลุบตาลงและกล่าวขอบคุณ

ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรต่อกันอีก ฮัวหย้วนไม่ได้ปล่อยให้นางอยู่นานเท่าไรนัก จึงได้โบกมือไปมาให้นางถอยออกไป

ในระหว่างทางที่กลับจวนอ๋อง นางก็ยังคงไม่พูดอะไรมาตลอดทาง และในทางกลับกันมู่เสี่ยวกลับมองมายังนางอยู่อีกหลายครั้ง ในที่สุดก็เป็นนางทนไม่ได้แล้ว จึงได้เอ่ยปากขึ้นมาก่อนว่า "มีอะไรหรือ? อยากที่จะถามว่าใบหน้าของฮัวหย้วนดีขึ้นบ้างหรือยังใช่หรือไม่ หรือกังวลใจว่าข้าจะลงมือกับฮัวหย้วนอีกหรือไม่กันแน่?"

นางหงุดหงิดใจมากจริง ๆ จนไม่คาดคิดว่าจะพูดอะไรขึ้นมาไม่คิดเช่นนี้

สีหน้าของมู่เสี่ยวเคร่งขรึมอย่างฉับพลัน "ข้าได้ส่งคนไปตามหาหมอที่ปรับสูตรยาให้มีประสิทธิภาพ ในช่วงสองสามวันนี้ หวางเฟยก็อยู่เพียงแค่ภายในจวนจะดีที่สุด อย่าได้ออกไปไหนตามใจตนเลย"

"..." ครั้งนี้ซูเมิ่งเยียนไม่ได้ตอบอันใดกลับไป ทำเพียงแค่นวดระหว่างคิ้ว ดูเหมือนว่าอาการหวัดจะรุนแรงมากขึ้นแล้ว

...

เมื่อกลับมาถึงจวน มู่เสี่ยวก็ไปที่ห้องโถงใหญ่ และซูเมิ่งเยียนก็กลับไปที่เรือนหลัง ส่วนชิวซวงนั้นก็ได้เตรียมยาสมุนไพรร้อน ๆ ไว้ให้นางเรียบร้อยแล้ว

หลังจากที่ซูเมิ่งเยียนดื่มยาเสร็จแล้วก็นอนหลับไปหนึ่งชั่วยาม และหลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้วก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาเล็กน้อย

ที่เรือนด้านหน้า ยังมีเหล่าผู้คนพลุกพล่านอย่างรีบร้อนอยู่ และซูเมิ่งเยียนก็นั่งอยู่ข้างของหน้าต่าง แล้วมองไปยังเหล่าผู้คนที่เดินขวักไขว่ด้วยความรีบร้อน ทั้งหมดเหล่านั้นสามารถเป็นหลักฐานได้ว่ามู่เสี่ยวใส่ใจฮัวหย้วนถึงเพียงใด

“ชิวซวง” เสียงของนางดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน

"คุณหนู?"

“ไปที่วัดชิงซานเป็นเพื่อนข้าหน่อยซิ”

วัดชิงซาน เป็นวัดชานเมืองที่สร้างอยู่บนเนินเขาที่เขียวขจี ถึงแม้ว่าจะมีผู้แสวงบุญไม่มากเท่าวัดหลวง ที่นี่มีเรือนเพียงไม่กี่หลัง นอกจากนี้ยังมีเพียงเจ้าอาวาสหนึ่งท่าน และพระภิกษุสงฆ์อยู่เพียงไม่กี่ท่านเท่านั้น

เมื่อตอนที่ซูเมิ่งเยียนมาถึง ก็เป็นเวลาใกล้จะหลังเที่ยงแล้ว และหลังจากที่ปีนขึ้นภูเขาไป ก็มีเหงื่อบาง ๆ อยู่ทั่วหน้าผากของนาง

บนเขาเย็นกว่าตีนเขาเล็กน้อย ชิวซวงได้หยิบเสื้อคลุมกันลมที่เตรียมไว้มาคลุมให้นาง และทั้งสองก็ตรงเข้าไปเคาะที่ประตูใหญ่ตรงหน้าวัด

ผู้ที่เปิดประตูก็คือพระภิกษุสงฆ์ หลังจากที่ได้บอกเจตนาที่มาอย่างชัดเจนแล้ว พระภิกษุสงฆ์ก็ได้นำพวกนางทั้งสองไปยังประตูทางเข้าของอีกห้องหนึ่ง จากนั้นก็รออยู่เพียงครู่หนึ่ง ก็ได้เจอกับชายชราที่นุ่งห่มจีวรเดินเข้ามาท่านหนึ่ง

ผมและเคราของชายชราขาวราวกับหิมะ แต่ทว่ากลับยังเดินเหินได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง เสื้อคลุมเคลื่อนไหวเล็กน้อย และเดินตรงมาที่เบื้องหน้าของนาง

สิ่งที่นางแปลกใจก็คือ เจ้าอาวาสท่านจ้องมองมาที่นาง ดวงตาทั้งคู่นั้นชัดเจนมา เมื่อผ่านไปเป็นเวลานานก็กล่าวว่า "มีวาสนา มีวาสนาจริงๆ"

“ท่านเจ้าอาวาสเจ้าคะ?” ซูเมิ่งเหยียนงุนงง

แต่ท่านเจ้าอาวาสกลับไม่กล่าวอะไร เพียงแค่โบกมือไปมาเท่านั้น และพระภิกษุสงฆ์ก็หยิบยาแก้พิษออกมา

"ยาแก้พิษนี้ได้สกัดมาจากคางคกน้ำแข็ง และไม่ใช่ยาที่ไว้ใช้แก้พิษของหยานกู่" เจ้าอาวาสรับขวดลายครามจากพระภิกษุสงฆ์ "มันแก้พิษได้หลายร้อยชนิด และหยานกู่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน"

ซูเมิ่งเยียนพยักหน้าแล้วรับมาอย่างเป็นธรรมชาติ

"และมันจะดีที่สุดที่ต่อสู้กับพิษด้วยยาพิษ" เจ้าอาวาสท่านนั้นมอบขวดยาเคลือบมาไว้บนมือของนาง "หากต้องการแก้พิษ จำเป็นที่จะต้องทำให้พิษระเหยออกมาก่อน"

"เจ้าคะ" ซูเมิ่งเยียนยังคงพยักหน้าแล้วตอบกลับอย่างแผ่วเบา

ในชีวิตที่แล้วมู่เสี่ยวก็ได้ร้องขอยาตัวนี้เช่นกัน นางจึงเข้าใจถึงประสิทธิภาพของยาแก้พิษอย่างแน่นอนอยู่แล้ว

นอกจากนี้... น้ำเสียงของเจ้าอาวาสเหมือนคำพูดของเซนอย่างไรอย่างนั้น เมื่อได้ยินแล้วทำให้คนรู้สึกจิตใจสงบขึ้นมา ซูเมิ่งเยียนไม่ได้ปฏิเสธ แต่ในทางกลับกันจิตใจและความคิดของนางก็สงบขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว

"เช่นนั้นเจ้าก็รับไปเถอะ" เจ้าอาวาสกล่าวอย่างแผ่วเบา

"ขอบคุณท่านเจ้าอาวาสมากเจ้าคะ" ซูเมิ่งเยียนใช้ทั้งสองมองรับมา จากนั้นก็โค้งคำนับเล็กน้อย

"อื้ม" เจ้าอาวาสพยักหน้าเล็กน้อย

ในเมื่อไม่มีคำพูดอีก และเมื่อซูเมิ่งเยียนได้รับยาแก้พิเศษมาแล้วจึงจะออกมาด้วยกันกับชิวซวง แต่กลับไม่คาดคิดว่า เมื่อเพิ่งจะเดินมาถึงประตู น้ำเสียงของเจ้าอาวาสก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

"จิตวิญญาณแห่งความงามไม่มีที่ไป และในชีวิตนี้ค่อยเชื่อมต่อโชคชะตากัน..." น้ำเสียงราวถอนหายใจยาว

ซูเมิ่งเยียนชะงักเท้าครู่หนึ่ง และหยุดอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

"คุณหนูเจ้าคะ?" ชิวซวงงุนงง แล้วกระซิบเรียกนาง แล้วดึงแขนเสื้อยาวของนางไว้

ซูเมิ่งเยียนยังคงไม่มีการตอบสนองกลับ

จิตวิญญาณแห่งความงามไม่มีที่ไป และในชีวิตนี้ค่อยเชื่อมต่อโชคชะตากัน...

ไม่มีที่ไป เชื่อมต่อโชคชะตากัน...

ซูเมิ่งเยียนหันศีรษะกลับมาแล้วมองไปที่เจ้าอาวาสที่สวมชุดจีวรนั้น จากนั้นน้ำเสียงของนางก็สั่นเครือเล็กน้อย "ที่ท่านเจ้าอาวาสกล่าวเช่นนี้หมายความว่าเช่นใด"

"มันเป็นเพียงแค่การทอดถอนใจเท่านั้น" เจ้าอาวาสยิ้มให้กับนาง "หวางเฟย หากมีวามสนา สุดท้ายแล้วพวกเราก็จะได้พบกันอีกครั้ง"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน