ตอนที่ 139 ความคิดของลู่เฉิน
“ลองพูดความคิดของคุณให้ชัดเจนสิ…”
หลินจื้อเจี๋ยถามลู่เฉิน “เกี่ยวกับการจำหน่ายอัลบั้มชุดนี้ ความคิดของคุณคืออะไร”
เขาอยู่ในห้องบันทึกเสียง ฟังเพลงเจ็ดเพลงที่อยู่ในอัลบั้มของลู่เฉินจบแล้ว ให้คำชี้แนะหวังจิ้งกับหวังฮุยไม่น้อย สุดท้ายก็ยังพูดไม่หนำใจ จึงลากลู่เฉินมานั่งที่ห้องรับแขก แล้วถามถึงปัญหาในการจัดจำหน่าย
เดิมทีหลินจื้อเจี๋ยนัดพบกับลู่เฉินเพื่ออยากจะดึงเขาเข้าบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด แต่ไม่บรรลุผล
เนื่องจากมีความคิดในการช่วยเหลือคนใหม่ เขาจึงไม่ถือสาที่จะช่วยเหลือลู่เฉิน
ทุกอย่างเป็นความคิดที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลินจื้อเจี๋ยเกิดความสนใจในการผลิตอัลบั้มของลู่เฉินอย่างฉับพลัน ดังนั้นจึงวิ่งมาทดลองฟังที่สตูดิโอเล็กๆ แห่งนี้ ผลสรุปก็คือพอได้ฟังก็ฟังอย่างตั้งใจ!
ในฐานะผู้อำนวยการเพลงของเฟยสือเรคคอร์ด หลินจื้อเจี๋ยมีประสบการณ์สูงในวงการ เขาค้นพบอย่างฉับไวว่านอกจากคุณภาพของเพลงแล้ว อัลบั้มของลู่เฉินยังเป็นสไตล์รูปแบบใหม่ หัวใจหลักคือการหวนรำลึก
ซึ่งไม่เหมือนกับเพลงเร็วเพลงฮิตที่เป็นกระแสในยุคนี้ กลุ่มแฟนคลับของลู่เฉินไม่ใช่คนหนุ่มสาวอายุสิบกว่าปีพวกนั้น แต่เป็นคนที่รักเพลงป็อปที่เกิดในยุค 70-90
นี่คือกลุ่มที่ใหญ่มาก!
เพลงป็อปภายในประเทศเคยเจริญรุ่งเรืองนับครั้งไม่ถ้วนในยุค 80-90 หลังจากเข้าสู่ศตวรรษใหม่ก็ได้รับอิทธิพลจากเพลงป็อปของสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่นและเกาหลี สุดท้ายจึงกลายเป็นรูปแบบในปัจจุบันนี้
ตอนนี้นิยมอะไรน่ะเหรอ นิยมพวกไอดอล หนุ่มวัยละอ่อน เพลงเร็วเต้นสนุก เพลงแร็ปล้างสมอง…พวกเด็กรุ่นใหม่ชอบติดตามแฟชั่นบูชาคนดัง มีจิตวิญญาณในการต่อต้านสูงมาก ไม่ชอบขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าๆ
พ่อแม่ของเด็กวัยรุ่นพวกนี้เป็นปัจจัยหลักของสังคม เด็กส่วนใหญ่จึงมีฐานะทางการเงินที่ดี เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงยอมจ่ายเงินวิ่งไล่ตามดารา ชอบซื้อผลิตภัณฑ์ตามดาราไอดอล ยอมจ่ายเงินนับร้อยนับพันไปดูคอนเสิร์ตโดยไม่แคร์อะไร
ดังนั้นบริษัทบันเทิงมีเดียในประเทศจึงพยายามตอบสนองรสนิยมของพวกเขา นำสิ่งของที่มาจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีเข้ามาดัดแปลงผสมผสานให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น อาศัยกลุ่มแฟนคลับที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเพื่อทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ
ระหว่างบริษัทบันเทิงมีเดียก็มีการแข่งขันที่ดุเดือดมาก เหล่าศิลปินก็เหมือนกับสินค้าในไลน์การผลิต ถูกฝึกฝนชุดใหญ่ พยายามอย่างเต็มที่ในการกินส่วนแบ่งในตลาดขนาดใหญ่ที่ถูกนำมาจากเหล่าแฟนคลับวัยรุ่น
แต่กลุ่มคนที่เกิดยุค 70-80 ล่ะ
บางทีพวกเขาอาจจะถูกฝืนให้ยอมรับเพลงแนวใหม่ หรืออาจจะชอบไอดอลคนใหม่ อย่างไรก็ตามยังมีพวกที่ยึดมั่นและชื่นชอบเพลงเก่าคลาสสิกอยู่อีกมากมาย
ตัวอย่างคือเพลงสุดคลาสสิกของถานหง เขาเกือบจะอยู่ในสถานะออกจากวงการแล้ว ปีที่แล้วมีการจัดคอนเสิร์ตในร่มที่สนามกีฬาแห่งชาติ ณ กรุงปักกิ่ง บัตรเข้าชมหลายหมื่นใบถูกขายหมดภายในสามวัน!
ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าถานหงยังมีแฟนเพลงหลายหมื่นคนที่ยังชอบเขา บางทีพวกเขาอาจจะไม่ใช่คนหนุ่มสาวแล้ว แต่พวกเขายังคงมีพลังที่แข็งแกร่ง ไม่เหมือนกับเด็กวัยรุ่นที่ยอมจ่ายเงินปรนเปรอไอดอลพวกนั้น
อัลบั้มชุดนี้ของลู่เฉินเป็นเพลงบัลลาดพื้นบ้านร่วมสมัยทั้งหมดเจ็ดเพลง มีกลิ่นอายของการคิดถึงวันเก่าๆอย่างเข้มข้น พรสวรรค์และความทุ่มเทที่เขาแสดงออกมา ทำให้หลินจื้อเจี๋ยแสดงความประทับใจออกมาทางสีหน้า!
ดังนั้นหลินจื้อเจี๋ยจึงยอมช่วยคิดเรื่องการวางจำหน่ายให้กับลู่เฉิน เพราะไม่อยากให้ความสวยงามของอัลบั้มชุดนี้ถูกบดบัง
มันควรจะได้รับเกียรติตามความสมควร!
ลู่เฉินกับลู่ซีมองหน้ากัน คนหลังส่งสัญญาณบอกให้เขาเป็นคนตอบคำถามนี้กับหลินจื้อเจี๋ย
ลู่เฉินคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “อาจารย์หลิน คืออย่างนี้ครับ…”
ความคิดของลู่เฉินคือการใช้เฟยสือเรคคอร์ดบันทึกอัลบั้มแรกของตัวเอง ประกอบด้วยซีดีและแฟลชไดร์ฟ ขณะเดียวกันก็แบ่งออกเป็นสามเวอร์ชันคือเวอร์ชันปกติ เวอร์ชันลิมิเต็ดเอดิชั่นและเวอร์ชันดีลักซ์ โดยใช้วิธีการสั่งซื้อจากแฟนคลับเพื่อกำหนดปริมาณ
ซึ่งหมายความว่าแฟนคลับจองเท่าไร ทางนี้ก็บันทึกเสียงเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงให้น้อยลง
นอกจากการเร่งผลิตของเฟยสือเรคคอร์ดแล้ว ก็ต้องใช้ช่องทางของพวกเขาในการจำหน่ายอัลบั้มออกไป
และช่องทางนี้ก็คือร้านหนังสือซินหัวที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ!
ร้านหนังสือซินหัวเป็นธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ขนาดใหญ่ของประเทศ ก่อตั้งมานานเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว อยู่ในเครือของฝ่ายประชาสัมพันธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและไชน่าพับลิชชิ่งกรุ๊ปจำกัด มีร้านจำหน่ายกว่า 15,000 สาขา สำนักงานใหญ่อยู่ที่ปักกิ่ง
ในอดีตทุกคนหากจะซื้อหนังสือ คนส่วนใหญ่ก็จะไปซื้อที่ร้านหนังสือซินหัว โดยเฉพาะหนังสือเรียนภายใน ประเทศก็ยังจัดจำหน่ายผ่านร้านหนังสือซินหัว เพราะฉะนั้นจึงมียอดขายที่น่าตกใจมาก
แต่พอเข้าสู่ศตวรรษใหม่ ประเทศได้มีข้อจำกัดในการเผยแพร่สิ่งพิมพ์เสรีรอบด้าน บวกกับการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เกิดขึ้นใหม่ เจ้าพ่อวงการอย่างร้านหนังสือซินหัวจึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก อัตราการทำกำไรลดลงทุกปี
ร้านสาขาในพื้นที่ห่างไกลล้วนแต่อาศัยการเช่าร้านเพื่อดำเนินกิจการให้ดำรงต่อไป กำไรที่ได้จากการขายหนังสือจึงไม่มากนัก
ภาวะวิกฤตที่ร้านหนังสือซินหัวกำลังเผชิญอยู่ ไม่ต่างกับบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด หลายปีที่ผ่านมาผู้บริหารระดับสูงขององค์กรพยายามแสวงหาวิธีการส่งเสริมการขายรูปแบบใหม่ ผลักดันข้อได้เปรียบของตัวเองออกมาใช้อย่างเต็มที่
อย่างเช่นเมื่อก่อนร้านหนังสือซินหัวขายตลับเทปและซีดี ตอนนี้สิ่งของเหล่านี้ถูกกำจัดทิ้งและเข้าสู่ความตกต่ำ ไม่มีผลประโยชน์อะไรให้พูดถึงอีก ทางร้านหนังสือจึงดำเนินการร่วมมือเชิงลึกกับบริษัทบันเทิงมีเดีย เป็นตัวแทนขายผลิตภัณฑ์ตัวพ่วงต่อท้ายของดาราไอดอล กระทั่งขายบัตรคอนเสิร์ต
เนื่องจากอิทธิพลของร้านหนังสือซินหัวบวกกับสินค้าเป็นของแท้ บริษัทบันเทิงมีเดียจึงยินดีที่จะขยายกลุ่มแฟนคลับจากช่องทางนี้ ดังนั้นจึงกลายเป็นกระบวนการที่เติบโตมาอย่างช้านาน
บริษัทเฟยสือเรคคอร์ดก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของร้านหนังสือซินหัว
หลินจื้อเจี๋ยเข้าใจแล้ว “คุณอยากขายล่วงหน้าทางออนไลน์ก่อน จากนั้นก็ค่อยเอาสินค้าไปวางขายที่ร้านหนังสือซินหัวใช่ไหม”
วิธีการขายแบบนี้มีมานานแล้ว พวกแฟนคลับจะสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของดาราบนเว็บไซต์ทางการ พอได้รับรหัสในการยืนยันตัวตน ก็จะเอาโทรศัพท์ไปที่ร้านหนังสือซินหัวในพื้นที่แล้วสแกน จากนั้นก็รับสินค้า
สำหรับบริษัทจัดหานักแสดงและสื่อบันเทิง วิธีการขายแบบนี้ลดแรงกดดันของพวกเขาได้มาก แค่เตรียมสินค้าให้ดีแล้วก็มอบให้ร้านหนังสือซินหัว ใช้ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพและเครือข่ายการขายขนาดใหญ่ของอีกฝ่ายเพื่อออกสินค้า
บวกกับการขายทางเว็บไซต์โดยตรง จึงกลายเป็นระบบการขายที่สมบูรณ์แบบ ลดต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar