ตอนที่ 152 มอบให้หนึ่งเพลง
จางเหวินเทียนใช้เวลาเก็บตัวนานเกือบสิบปี แต่ในประเทศหรือแม้กระทั่งต่างประเทศเขาก็ยังเป็นผู้กำกับใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาก
เพราะฉะนั้นผลงานการกลับมาของผู้กำกับใหญ่คนนี้จึงได้รับความสนใจจากหลายฝ่าย ต่อให้เคยมีตัวอย่างภาพยนตร์ที่ต้องขาดทุนสองสามเรื่องก่อนหน้านั้น แต่ด้วยชื่อเสียงและเส้นสายของเขา ก็สามารถดึงนักลงทุนเข้ามาได้มากพออย่างสบายๆ
ดาราดังเบอร์ใหญ่ในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ บวกกับฝ่ายที่ได้ผลประโยชน์ร่วมกับนักลงทุน ต้องการแย่งบทบาทในภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้อย่างแน่นอน ต่อให้เป็นตัวประกอบเบอร์สามเบอร์สี่ก็แย่งกันสุดฤทธิ์
ภาพยนตร์ขาดทุนไม่เป็นไร ผลงานของจางเหวินเทียนมีประเพณีไปร่วมงานเทศกาลในต่างประเทศอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลมากมาย ใครบ้างไม่อยากกลับไปเดินบนพรมแดงในเทศกาลภาพยนตร์ที่ถูกจับตามองจากผู้คนนับหมื่นอีกครั้ง
ดังนั้นถึงแม้จะลดค่าจ้าง แต่หลายคนก็ยอมเพื่อยกระดับของตัวเองอีกสักครั้ง
ในฐานะคนใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการ มีฐานะเป็นศิลปินอิสระและนักร้อง ลู่เฉินไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในการเข้าร่วมเกมแบบนี้ อิทธิพลและเส้นสายในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ของเขาน้อยมากเหลือเกิน
ถ้าหากไม่ใช่เพราะความบังเอิญในวันนี้ ให้เขาได้สร้างความประทับใจแก่ผู้กำกับใหญ่ด้วยเพลง ‘ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง’ สุดคลาสสิก ต่อให้เขาต้องวิ่งเต้นเพื่อขอเป็นตัวประกอบใช่ว่าจะทำได้!
และตอนนี้จางเหวินเทียนเองเป็นฝ่ายที่เสนอบทตัวประกอบเล็กๆ ตัวหนึ่งให้ลู่เฉิน ถือว่าเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายมาก!
ลู่เฉินผ่านประสบการณ์สามช่วงชีวิตในโลกของความฝัน หนึ่งในนั้นก็คือโม่หรานซึ่งเป็นนักแสดงมากความสามารถคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เขาโชคไม่ดี ได้เล่นเป็นตัวประกอบตลอด ไม่เคยดังเปรี้ยงปร้างสักที
ส่วนนี้เกี่ยวกับช่วงชีวิตของโม่หราน ลู่เฉินจึงเกิดความรู้สึกที่แปลกไปสำหรับนักแสดง เขาเคยสาบานในใจว่า จะทำให้ความปรารถนาดั้งเดิมของโม่หรานเป็นจริงขึ้นมาในโลกของตัวเอง กลายเป็นนักแสดงนำอย่างแท้จริง
แต่ข้าวต้องกินทีละคำ ทางต้องเดินทีละก้าว วิ่งเร็วไปจะล้มได้ง่ายๆ ลู่เฉินไม่อยากเจ็บตัว
เพราะฉะนั้นเขาจึงใช้เพลงป็อปเป็นจุดเริ่มต้นของกิจการของตัวเอง หลังจากรอให้สั่งสมประสบการณ์มากพอแล้วจึงค่อยพัฒนาเข้าสู่วงการภาพยนตร์โทรทัศน์
และด้วยทัศนคติที่ดีแบบนี้ ดังนั้นเมื่อครู่ลู่เฉินจึงไม่ได้ใช้โอกาสนี้ถามบทบาทจากจางเหวินเทียน
บทภาพยนตร์ กองถ่ายทำ นักแสดงครบหมดแล้ว หากยัดตัวเองเข้าไปอีก จะไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกลำบากใจเหรอ
ถ้าหากทำให้จางเหวินเทียนไม่พอใจ แบบนั้นคงโง่เกินไปแล้ว
สามารถใช้ผลงานเพลงของตัวเองกำหนดให้เป็นเพลงประกอบหลักของภาพยนตร์ ลู่เฉินก็พอใจมากแล้ว
ทว่าเรื่องในโลกนี้ก็มหัศจรรย์นัก สิ่งที่เขาไม่ได้ต้องการ แต่จางเหวินเทียนกลับนำมาให้
ต่อให้เป็นแค่ตัวประกอบเล็กๆ ลู่เฉินก็รู้สึกดีใจกับข่าวดีที่คาดไม่ถึง และตอบรับโดยไม่คิดอะไรมาก
หากมัวแต่ทำตัวเหนียมอายสุภาพ แบบนั้นไม่เท่ากับโง่เรอะ
ความดีใจและตื่นเต้นของลู่เฉิน ทำให้จางเหวินเทียนยิ้มไม่หยุด…แบบนี้ก็ถูกแล้ว
ถ้าหากลู่เฉินยังคงนิ่งเฉย ทำสีหน้าไร้อารมณ์ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เช่นนั้นคงจะต้องสงสัยจริงๆ ว่าเขาเป็นคนแก่กลับชาติมาเกิดหรือเปล่า หรือไม่ก็ชื่อเสียงของตัวเองตกต่ำจนไม่อาจทำให้ศิลปินน้องใหม่ประทับใจได้
ผู้กำกับใหญ่คนนี้พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “บทภาพยนตร์กับสัญญาการแสดง ค่อยพูดทีเดียวตอนมอบโอนลิขสิทธิ์ผลงานเพลงก็ได้ บทของนายอยู่ท้ายๆ ดังนั้นนายคงมีเวลามากพอในการฝึกซ้อมเทคนิคการแสดง แสดงออกมาให้ดีล่ะ!”
การเป็นนักร้องเป็นนักแสดง ต้องฝึกอบรมมาโดยเฉพาะ มิฉะนั้นเทคนิคการแสดงคงเป็นปัญหาใหญ่ ถึงแม้บทบาทของลู่เฉินจะมีฉากน้อย แต่ก็จะแสดงอย่างประมาทเลินเล่อไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงเบอร์ใหญ่หรือเด็กใหม่ ความต้องการของจางเหวินเทียนก็เข้มงวดจริงจังโดยปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเสมอภาค
ลู่เฉินเอ่ยด้วยความยินดี “ไม่มีปัญหา ผมจะตั้งใจเรียนแน่นอนครับ”
มีความทรงจำของโม่หราน เขาจึงสามารถควบคุมบทนักแสดงนำได้ ดังนั้นบทตัวประกอบเล็กๆ จึงง่ายมาก
แต่ต่อหน้าจางเหวินเทียน ลู่เฉินจะเผยความมั่นใจมากเกินไปไม่ได้ ต้องถ่อมตัวถึงจะถูก
จางเหวินเทียนพยักหน้ากล่าวว่า “ส่วนเรื่องการเรียบเรียงเพลงนี้ แล้วก็ดนตรีประกอบภาพยนตร์…”
ลู่เฉินรีบพูดว่า “ด้านการเรียบเรียงเพลงและดนตรีประกอบ ความสามารถของผมยังไม่พอครับ”
ล้อเล่นอะไรกัน เพลงประกอบภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เป็นงานชิ้นใหญ่ เขาก็รู้ตัวเองดีพอ
และด้านนี้คือข้อด้อยของลู่เฉินพอดี ดังนั้นเขาถึงอยากมานั่งเรียนวิชาที่สถาบันจิงอินเพื่อสะสมความรู้
จางเหวินเทียนยิ้มพูดว่า “ความหมายของฉันคือจะมอบให้นายไม่ได้ แต่ในฐานะผู้ประพันธ์เพลงหลักนี้ ฉันหวังว่านายจะเสนอความคิดเห็นยามที่ต้องการ ฉันกะว่าจะให้ศาสตราจารย์เกาเป็นคนเรียบเรียงและดนตรีประกอบให้เสร็จ”
แหม! คิดเข้าข้างตัวเองเกินไป!
ลู่เฉินหน้าแดงทันที เขาคิดมากเกินไป…ใจเย็นๆ!
เวลานี้ หางตาที่เหลือของลู่เฉินเหลือบมองเห็นฉินชิงที่อยู่ข้างๆ กำลังเม้มปากแอบหัวเราะ
เผยความน่ารักของหญิงสาวออกมาไม่น้อย
ลู่เฉินจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
การเรียบเรียงและทำดนตรีประกอบของภาพยนตร์นั้นสำคัญมาก ไม่ว่าอย่างไรเป็นไปไม่ได้ที่จางเหวินเทียนจะให้เขาทำ
ถึงอย่างไรคุณสมบัติยังน้อยเกินไป และไม่มีประสบการณ์
จางเหวินเทียนมอบบทตัวประกอบเล็กๆ ให้ลู่เฉิน ก็เพราะอยากชดเชย ที่ลู่เฉินให้เพลงประกอบภาพยนตร์หลัก
เกาเยวี่ยยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยว่า “ลู่เฉินต้องมาเรียนที่จิงอินพอดี เวลาพวกเราติดต่อกันก็จะสะดวกมาก”
เขาเป็นคนแก้สถานการณ์เก่งจึงช่วยทำลายความเขินอายเล็กน้อยให้กับลู่เฉิน
ลู่เฉินกล่าวขอบคุณ “ศาสตราจารย์เกา ผมต้องขอความรู้จากคุณมากๆ แล้วครับ!”
นี่ไม่ได้เป็นอีกโอกาสหนึ่งของเขาได้อย่างไร
ในเมื่อจางเหวินเทียนมอบหมายงานด้านนี้ให้เกาเยวี่ยแล้ว และคนหลังก็ยังเป็นศาสตราจารย์คณะการประพันธ์เพลงของสถาบันจิงอินอีก ประสบการณ์จึงมีมากอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หากได้รับการแนะนำอย่างสุดจิตสุดใจ เช่นนั้นความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนก็เท่ากับเป็นการลงแรงน้อยแต่ได้ผลตอบแทนมากเป็นทวีคูณ
จางเหวินเทียนพูดให้กำลังใจ “ผลงานเพลงนี้ของลู่เฉินทำให้ฉันมีความมั่นใจ ปีหน้าฉันจะเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปักกิ่ง คว้ารางวัลเพลงยอดเยี่ยมมาให้ได้แน่นอน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar