ตอนที่ 225 รางวัลจากพี่สาว
ตอนรับสายของมู่เสี่ยวชู ลู่เฉินยังอยู่ที่สตูดิโอ
ห้องออกอากาศเดิมได้ตกแต่งเปลี่ยนแปลงใหม่ ซื้ออุปกรณ์ใหม่เข้ามาจนกลายเป็นห้องทำงานส่วนตัวของเขา
แต่คืนนี้ลู่เฉินไม่ออกอากาศ และไม่ได้แต่งเพลง แต่กำลังพิมพ์ตัวอักษร
เขากำลังเขียนบทละครอยู่
ในฐานะนักศึกษาที่จบจากคณะคอมพิวเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยเจียงไห่ ลู่เฉินใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่การพิมพ์ตัวอักษรเขียนหนังสือเช่นนี้เขาไม่เคยทำมาก่อน ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใหม่มาก แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้ว เขาก็ยังตื่นเต็มตา
คงเหมือนกับคนอีกมากมายที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เมื่อก่อนลู่เฉินก็ชอบอ่านนิยายในอินเทอร์เน็ต หลายปีนี้วงการนิยายออนไลน์เติบโตขึ้นอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นจำนวนนักเขียนหรือจำนวนนักอ่าน ล้วนเป็นอันดับหนึ่งในโลกแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
แนวแฟนตาซี แนวเทพเซียน แนวชีวิตคนเมือง แนวเกม แนวทหาร…
เขาอ่านนิยายชื่อดังมาแล้วไม่น้อย แต่ยังไม่เคยเขียนนิยายของตัวเองเลยสักเรื่อง
แต่ในความทรงจำของลู่เฉิน ในโลกแห่งความฝันนิยายออนไลน์ก็กำลังเป็นที่นิยม หัวข้อที่นำมาแต่งส่วนใหญ่คล้ายกันแต่รายละเอียดแตกต่างกัน มีผลงานคลาสสิคหลายเรื่องที่จดจำสลักอยู่ในสมองของเขา ไม่ตกไปสักตัวอักษร!
ที่น่าสนใจคือ ความทรงจำของชีวิตคนสามคน โม่หรานเป็นผู้ที่อ่านนิยายออนไลน์มากที่สุด
ไม่ใช่นักเขียนอิสระอย่างฟางหมิงอี้
ถ้าลู่เฉินไม่ได้เลือกเดินในเส้นทางดนตรี มาเขียนนิยายจากโลกแห่งความฝันพวกนี้ลงอินเทอร์เน็ตแทน น่าจะหาเงินได้มหาศาล
ศิลปะนั้นเชื่อมโยงถึงกัน บทประพันธ์ในโลกออนไลน์ก็เป็นเช่นนี้ด้วย!
บทละครที่เขาเขียนอยู่ในตอนนี้ ไม่ได้เป็นนิยายที่มีอยู่แล้ว แต่หยิบยืมความทรงจำมาจากละครโทรทัศน์ที่เคยดู นำเนื้อหาของเรื่องนี้เขียนออกมา แล้วค่อยปรับแต่งและเรียบเรียงอีกเป็นครั้งที่สอง
ส่วนประสบการณ์การเขียนบทละครนั้น เขาได้มาจากฟางหมิงอี้
ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ลู่เฉินเขียนโครงเรื่องออกมาได้ห้าพันตัวอักษร และบทละครสองตอนแรกอีกสามหมื่นตัวอักษร!
ตอนเริ่มต้นเขาเขียนได้ช้ามาก หนึ่งชั่วโมงเขียนได้อย่างมากแค่หนึ่งพันตัวอักษรเท่านั้น
แต่หลังจากเริ่มคล่องขึ้นความเร็วก็เพิ่มขึ้น วันนี้พิมพ์ไปได้สองหมื่นกว่าตัวอักษรแล้ว
หากยึดตามความเร็วเท่านี้ บทละครโทรทัศน์ทั้งหมดยี่สิบตอนจะเสร็จสมบูรณ์ภายในสิบวัน
เขาเพิ่งจะเขียนตอนที่สองเสร็จ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
หลินจื้อเจี๋ย?
พอเห็นชื่อเจ้าของเบอร์ที่ติดต่อมา ลู่เฉินก็รีบรับโทรศัพท์ “ผู้อำนวยการหลิน มีอะไรให้รับใช้ครับ”
หลังจากที่ร่วมงานกันช่วงก่อนหน้านี้ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้อำนวยการเพลงแห่งบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดดีมาก พูดคุยหยอกล้อกันอยู่บ้าง นับได้ว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
ทว่าเสียงที่ดังออกมาจากปลายสายกลายเป็นเสียงเอียงอายของผู้หญิงคนหนึ่ง “อาจารย์ลู่ ฉันเสี่ยวชูค่ะ คุณพักผ่อนหรือยังคะ”
มู่เสี่ยวชู?
ลู่เฉินตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะและตอบว่า “ยังทำงานอยู่ เธอมีธุระอะไรหรือเปล่า”
มู่เสี่ยวชูโล่งใจ ตอบว่า “ฉันอยู่ที่บริษัท พวกผู้อำนวยการหลินก็อยู่ เขาให้ฉันโทรมาบอกคุณว่า อัลบั้มของเราขายดีมาก ขอบคุณคุณมากค่ะ!”
ลู่เฉินนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้อัลบั้ม ‘ยังไม่ใช่คนรัก’ ของวงเอ็มเอสเอ็นเริ่มวางตลาดเป็นวันแรก พวกเธอกับคนของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดย่อมเฝ้าดูยอดขายเป็นธรรมดา เมื่อวานหลินจื้อเจี๋ยยังโทรมาชวนเขาเลย
แต่เขากำลังยุ่งอยู่กับการเขียนบทละคร จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ลู่เฉินยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจหรอก ผมทำงานแลกกับเงิน ยินดีกับพวกเธอด้วยจริงๆ!”
อัลบั้ม ‘ยังไม่ใช่คนรัก’ ขายดีมาก ด้วยความสามารถและอำนาจของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด วงเอ็มเอสเอ็นจะต้องโด่งดังค้ำฟ้าแน่นอน
นี่เป็นข้อดีของการที่มีองค์กรอยู่เบื้องหลัง ไม่เหมือนลู่เฉินที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างยากลำบาก ต้องพยายามกับโอกาสที่ได้มา และก็ไม่ต้องถูกปฏิเสธง่ายๆ ตอนไปแคสติ้ง
แต่เขาไม่เสียใจที่ตัวเองเลือกทางเดินนี้
คุยกับมู่เสี่ยวชูอีกไม่กี่ประโยคแล้วลู่เฉินก็วางสาย
เขารู้ดีว่าทำไมหลินจื้อเจี๋ยถึงให้มู่เสี่ยวชูโทรมารายงานข่าวดีกับเขา สำหรับเขานี่เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน
อัลบั้ม ‘ยังไม่ใช่คนรัก’ ยิ่งขายดีเท่าไร มูลค่าผลงานของลู่เฉินก็จะเพิ่มขึ้นไปมากเท่านั้น
เมื่อก่อนเขาขายเพลงหนึ่งที่ราคาแสนกว่าๆ ถึงสองแสนหยวน หรืออาจมากถึงสามแสนหยวน ทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องตกใจวิ่งหนีกันหมด
ทุกคนคิดว่าเขาเป็นแค่เด็กใหม่ กล้าเรียกราคาที่สูงขนาดนี้ ดูจะโลภมากเกินไป
นอกเสียจากคนที่เคยลิ้มรสหวานของผลกำไรอย่างบริษัทชิงอวี่มีเดีย ก็ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับการขาดทุน
ดังนั้นลู่เฉินจึงขายผลงานออกไปได้น้อยมากจริงๆ
แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว มีอัลบั้ม ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ เป็นรากฐาน บวกกับอัลบั้ม ‘ยังไม่ใช่คนรัก’ ของวงเอ็มเอสเอ็นที่ขายดิบขายดี ยังมีอัลบั้มใหม่ของเฉินเฟยเอ๋อร์ที่อีกพักหนึ่งจะออกวางตลาด
ตำแหน่งของเขาในวงการจะกระโดดสูงขึ้น จนมีเรือธงเป็นชื่อของตัวเองแล้ว
เรื่องราคาจะตั้งให้สูงกว่านี้ก็ย่อมได้ เอาให้เทียบเท่าซูเปอร์สตาร์!
ไม่ใช่ว่าลู่เฉินละโมบ แต่ราคาบ่งบอกถึงตำแหน่งในวงการ ขณะเดียวกันตำแหน่งในวงการก็เป็นตัวกำหนดราคาเช่นกัน
แม้ว่าทั้งสองอย่างไม่เท่าเทียมกัน จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุผลอื่นหรือมีเรื่องความสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นแล้วจะกลายเป็นเรื่องน่าขัน
อ๊อด~
ลู่เฉินเพิ่งวางโทรศัพท์ลง เตรียมจะเขียนเนื้อหาบทละครตอนที่สามต่อ เสียงออดประตูด้านนอกก็ดังขึ้น
ใครกันนะ
เขาแปลกใจเล็กน้อย ลุกขึ้นไปเปิดประตูหน้าสตูดิโอ
เลยเที่ยงคืนแล้ว ทั้งสตูดิโอเหลือลู่เฉินอยู่คนเดียว พนักงานคนอื่นไม่อยู่แล้ว
แต่ในตึกแห่งนี้ บริษัทอื่นที่ทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่นมีอยู่มากมาย พนักงานที่อาศัยในสำนักงานเลยก็มีไม่น้อย
ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นบริษัทเพื่อนบ้านมาขอยืมกาแฟสักซอง
ลู่เฉินเปิดประตู คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำให้เขาตะลึงอ้าปากค้าง!
“พี่เฟย?”
แม้ฝ่ายนั้นจะแต่งตัวอำพรางมาเป็นอย่างดี ดึกดื่นค่ำคืนยังสวมแว่นกันแดด แต่ลู่เฉินก็จำเธอได้ในทันที
เป็นเฉินเฟยเอ๋อร์นี่เอง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar