ตอนที่ 400 วางแผนอนาคต
การเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนถึงปี 2015 นอกจากพื้นที่เขตปกครองพิเศษทั้งสามแห่งแล้ว ทั้งประเทศมีโรงภาพยนตร์มากกว่า 5,000 แห่ง มีจอเงินมากกว่า 25,000 จอ ยอดขายตั๋วหนังรวมทั้งปีสูงถึง 48,000 ล้านหยวน คิดเป็นครึ่งหนึ่งของตลาดเอเชียแปซิฟิกที่ขนาดใหญ่เป็นรองเพียงอเมริกาเท่านั้น
ในประเทศจีน เครือโรงภาพยนตร์วั่นหลง ซินซื่อไต้ และเหม่ยเฉิน เป็นเครือโรงภาพยนตร์หลักที่ได้รับส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด ในบรรดาเครือโรงภาพยนตร์เหล่านั้นวั่นหลงมีโรงภาพยนตร์มากกว่า 400 แห่ง เป็นหัวมังกรแห่งวงการอย่างแท้จริง
ผลกำไรที่ได้จากการบริหารเครือโรงภาพยนตร์นั้นน่าตกตะลึงมาก ตามสัดส่วนการแบ่งรายได้จากยอดขายตั๋วหนังในประเทศ จากยอดขายตั๋วหนัง 100 หยวน ต้องส่งเข้ากองทุนภาพยนตร์ 5 หยวน จ่ายค่าภาษี 3.5 หยวน จากนั้น 91.5 หยวนที่เหลือ โรงภาพยนตร์จะได้ไป 45 หยวน เครือโรงภาพยนตร์จะได้ 15 หยวน เหลือให้ฝ่ายผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายแค่ 31.5 หยวนเท่านั้น
นี่หมายความว่าเครือโรงภาพยนตร์ที่มีโรงภาพยนตร์จำนวนมากสามารถแบ่งผลประโยชน์ไปได้มากที่สุด
ไม่เพียงเท่านี้ ตามการเติบโตของตลาดภาพยนตร์ เครือโรงภาพยนตร์อันมั่งคั่งได้ขยายขอบเขตไปถึงต้นทาง ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงเผยแพร่ภาพยนตร์ ยาวเป็นแนวตลอดทั้งเส้นทาง ได้กินผลประโยชน์ตั้งแต่ต้นจนจบ
ด้วยลักษณะเช่นนี้ บริษัทผลิตภาพยนตร์ทั้งขนาดใหญ่และเล็กจะต้องถูกเครือโรงภาพยนตร์บีบแน่นอน อีกทั้งการแข่งขันระหว่างกันก็ยังดุเดือดมาก ลู่เฉินที่เป็นนักแสดงอิสระคนหนึ่งคิดอยากจะเข้าสู่ตลาดนี้ แค่คิดก็ยากแล้ว!
ลู่เฉินจะต้องพึ่งพาบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่แข็งแกร่ง ผูกสัมพันธ์อันดีกับเครือโรงภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ทั้งสามแห่ง จากนั้นแบ่งผลประโยชน์จำนวนมากออกไป ถึงจะทำให้เขามีที่ยืน
ระหว่างนี้ ลู่เฉินยังต้องคำนึงถึงท่าทีของคนอื่นด้วย
แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ ตอนนี้เขาได้รับความนิยมสูง การจะเป็นพระเอกในภาพยนตร์สักเรื่องไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
แต่การเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลิตและจัดจำหน่ายนั้นเป็นคนละเรื่องกัน!
เห็นได้ชัดว่าความทะเยอทะยานของลู่เฉินไม่ได้พอใจจะเป็นเพียงพระเอกหนังเท่านั้น เขาต้องการมากกว่านั้น
เพื่อนของวั่นเสี่ยวเฉวียนมองออกในเรื่องนี้ จึงเสนอคำแนะนำให้เขา…ไปฮ่องกง
อาศัยกฎใหม่ของสำนักงานวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติและแผนการสนับสนุนกิจการภาพยนตร์ของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เขาสามารถเริ่มต้นได้เป็นอย่างดี ไม่มีประวัติศาสตร์ที่ต้องรับผิดชอบ อีกทั้งมีช่องทางสีเขียว ง่ายดายกว่าการพัฒนาในประเทศเสียอีก
เพราะเครือโรงภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ทั้งสามแห่ง ได้ก้มหัวเป็นข้ารับใช้ให้แก่สำนักงานวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติ
อีกอย่างพื้นฐานของธุรกิจภาพยนตร์ในฮ่องกงนั้นดีมาก คนทำงานด้านนี้ก็มีมากมาย ทั้งผู้กำกับ นักแสดง ช่างกล้อง ช่างแต่งหน้า ฝ่ายอุปกรณ์ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นบุคลากรมืออาชีพที่เกี่ยวข้องกับวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ ระบบการทำงานที่สมบูรณ์จึงเกิดขึ้นมานานแล้ว
ยังมีค่าตัวนักแสดงท้องถิ่นในฮ่องกงที่ต่ำกว่านักแสดงในจีนแผ่นดินใหญ่อีก นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่นักแสดงจากฮ่องกงชอบเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์โทรทัศน์และออกรายการในจีนแผ่นดินใหญ่
แน่นอนว่าการไปพัฒนาในฮ่องกงย่อมต้องมีข้อเสีย เพราะวัฒนธรรมและสังคมในฮ่องกงกับจีนแผ่นดินใหญ่ค่อนข้างแตกต่างกัน ถ้าไม่คุ้นเคย กลับจะยิ่งเสียมากกว่าได้
สุดท้ายสิ่งที่เพื่อนของวั่นเสี่ยวเฉวียนไม่ได้บอกคือ การไปฮ่องกงของวั่นเสี่ยวเฉวียนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเขา เพราะที่นั่นไม่มีใครสนใจอดีตของเขา ทำให้เขาใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและผ่อนคลายลงบ้าง
เหตุผลต่างๆ นานา ทำให้ลู่เฉินหวั่นไหว
ข้อดีของการไปฮ่องกงนั้นเห็นได้ชัด ส่วนเรื่องที่ว่าจะหลอมรวมเข้ากับฮ่องกงได้อย่างไร ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับลู่เฉิน
เขาพูดภาษากวางตุ้งได้อย่างคล่องแคล่ว
เพราะสวีป๋อเป็นคนฮ่องกงโดยกำเนิด เพลงภาษาท้องถิ่นก็ร้องได้ไพเราะ ไม่มีอุปสรรคด้านการสื่อสารกับคนฮ่องกงที่ใช้ภาษากวางตุ้งเป็นหลัก
ลู่เฉินคิดแล้วพูดกับวั่นเสี่ยวเฉวียนว่า “อาจารย์วั่น คุณคิดว่าแบบนี้ดีไหม ผมไปจดทะเบียนจัดตั้งสตูดิโอภาพยนตร์ที่นั่นก่อน แล้วคุณก็ไปช่วยผมสร้างกิจการขึ้นมา เตรียมการถ่ายทำหนังเรื่องนี้?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar