ตอนที่ 449 ค่าจ้าง
ใช้พลังทั้งหมดอย่างเต็มที่ หม่าหรงเจินไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองทำตัวเสียมารยาท เขากลืนน้ำลายที่แห้งผาก แล้วเอ่ยเสียงหนักอึ้ง “ถ้าหากคุณลู่สามารถให้โอกาสนี้กับผม ผมจะแสดงบทเยียนชื่อเสียอย่างดีแน่นอนครับ!”
หม่าหรงเจินไม่ได้ตบหน้าอกสาบานอย่างมั่นใจ และไม่แสดงอาการดีใจจนลืมตัว หากแต่เอ่ยพูดสองประโยคง่ายๆ แสดงความมั่นใจและการตัดสินใจของเขาอย่างชัดเจน มีความจริงใจมากกว่าคำพูดสวยหรูมากมาย
ลู่เฉินสัมผัสได้ถึงความมั่นใจของเขา นี่คือความหยิ่งผยองของนักแสดงรุ่นเก๋า วินาทีนี้นักแสดงอาวุโสชาวฮ่องกงผู้นี้ที่ตกอับมานาน ในที่สุดจะได้แสดงความสามารถของเขาออกมาทั้งหมดอีกครั้ง
เป็นความสามารถที่ยังไม่โรยราและยังไม่ถูกความยากลำบากบดขยี้ไปจนหมดสิ้น!
นี่คือเยียนชื่อเสียที่ลู่เฉินต้องการ
ลู่เฉินพยักหน้ายิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “พวกเรากินข้าวกันก่อนครับ กับข้าวเย็นหมดแล้ว”
นี่คือสิ่งที่เกินความคาดหมายของหม่าหรงเจิน เขาเหมือนจำเลยที่กำลังรอคำตัดสิน ขณะที่กำลังรอคำพิพากษาครั้งสุดท้าย ผลสรุปว่าให้พักศาลชั่วคราว
ช่างขัดใจยิ่งนัก!
พูดตามจริงเมื่อครู่หม่าหรงเจินหยิบความกล้าและความมั่นใจทั้งหมดของตัวเองออกมาแล้ว ถ้าหากทำอีกครั้งอาจจะทำได้ไม่ดี
ทว่าอาหารรสเลิศของร้านอาหารซุ่นกี่ได้บรรเทาความกลัดกลุ้มใจทั้งหมดของหม่าหรงเจิน ฝีมือการปรุงอาหารทะเลของร้านอาหารเก่าแก่แห่งนี้ได้ชื่อว่ายอดเยี่ยม เป็นสถานที่ที่นักกินชาวฮ่องกงชื่นชอบเป็นอย่างมาก
ครั้งที่ยังมีหน้ามีตาและมีชื่อเสียง หม่าหรงเจินก็มาที่ร้านอาหารซุ่นกี่บ่อยๆ แต่ตอนนั้นห่างจากตอนนี้อย่างน้อยสิบปี
สิบปีแล้ว!
เมื่อได้ลิ้มรสชาติอาหารที่คุ้นเคยอีกครั้ง นักแสดงอาวุโสผู้นี้น้ำตาแทบไหล
เมื่อดื่มและรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็อิ่มท้อง จึงสั่งให้พนักงานมาเก็บจานอาหารและเปลี่ยนเป็นเสิร์ฟน้ำชา
ถึงเวลาที่ต้องถามคำถามสำคัญแล้ว
เฉินเหวินเฉียงถามตรงประเด็น “พี่หม่า เรื่องค่าจ้างคุณมีเงื่อนไขอะไรบ้างครับ ตอนนี้คุณลู่ก็อยู่ พวกเราพูดกันตรงๆ ได้เลย ถ้าหากไม่มีความคิดที่แตกต่างกัน บทนี้ก็เป็นของคุณเลยครับ”
บทบาทที่เฉินเหวินเฉียงแสดงในตอนนี้ เป็นเหมือนตัวแทนของลู่เฉิน ลู่เฉินในฐานะเจ้านาย แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมาต่อรองราคาค่าตอบแทนกับหม่าหรงเจินโดยตรง ดังนั้นเขาจึงต้องออกหน้าเป็นธรรมดา
ลู่เฉินพอใจหม่าหรงเจินมาก เฉินเหวินเฉียงยิ่งพูดง่ายกว่า
หม่าหรงเจินลังเลจริงๆ
ตอนที่มาร้านอาหารซุ่นกี่ เขาก็ได้คิดถึงปัญหาข้อนี้ และนี่ก็เป็นเรื่องที่เขาปวดหัวมากที่สุด
หม่าหรงเจินตอนที่หน้าที่การงานรุ่งเรืองนั้น ค่าจ้างถ่ายภาพยนตร์เรื่องหนึ่งสูงสุดถึงสองสามล้าน ถ้าหากเทียบกับราคาบ้านของฮ่องกงในตอนนั้น ก็เท่ากับสิบหรือยี่สิบล้านในตอนนี้
แต่อดีตก็คืออดีต ตอนนี้คือตอนนี้ ลูกผู้ชายไม่พูดเรื่องอดีต เขาในตอนนี้ตกอับเป็นนักแสดงตัวประกอบรับเล่นบทบาทเล็กๆ เงินที่หามาได้พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ เท่านั้น
ถึงแม้หม่าหรงเจินจะหย่านานแล้ว แต่ที่บ้านก็ยังมีแม่ที่ป่วยและอายุมาก เขาเป็นลูกกตัญญู ปกติเงินที่หามาอย่างยากลำบาก ส่วนใหญ่ก็เอามาดูแลแม่ที่แก่ชราของเขา
บทเยียนชื่อเสียสำหรับเขา เป็นโอกาสเปลี่ยนโชคชะตาชีวิต ดังนั้นปัญหาที่เกี่ยวกับค่าจ้าง ทำให้เขากังวลและสับสนมาก ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเสนอราคาเท่าไรถึงจะดี
ถ้าหากเป็นตอนนั้น เขาสามารถให้ผู้จัดการเจรจากับเฉินเหวินเฉียงได้เลย ควรได้เท่าไรก็ให้เท่าไร…
โอเค ไม่พูดถึงผู้จัดการเฮงซวยชั่วช้าคนนั้นแล้ว
เฉินเหวินเฉียงมีประสบการณ์ช่ำชอง แน่นอนว่าเขาเข้าใจความกังวลของหม่าหรงเจิน เขาจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พี่หม่า คุณพูดตัวเลขออกมาตรงๆ ได้เลยครับ แน่นอนว่าพวกเราสามารถรอให้คุณหาผู้จัดการมาก่อนแล้วค่อยคุยกันก็ได้”
“ไม่ ไม่ต้องครับ!”
หม่าหรงเจินกระโดดขึ้นโดยสัญชาตญาณ อย่าเพิ่งพูดถึงว่าจะหาผู้จัดได้หรือไม่ เมื่อก่อนถูกผู้จัดการหลอกยังไม่น่าเวทนาพอหรือ
ขณะที่กัดฟัน หม่าหรงเจินยื่นมือออกไปแล้วเอ่ยว่า “ห้าหมื่น”
ตอนที่เสนอราคา ในใจของเขากระวนกระวายมาก กลัวว่าหากเสนอสูงไปก็จะพลาดโอกาส แต่ถ้าเสนอต่ำเกินไปคนอื่นก็จะดูถูกได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar