ตอนที่ 453 ผู้พลิกชะตาชีวิต
ในยุค 80-90 เป็นยุคที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์โทรทัศน์ของฮ่องกงเฟื่องฟูมากที่สุด บริษัทภาพยนตร์โทรทัศน์ผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ด
คนวงในที่มีความทะเยอทะยานและมีความสามารถแค่สร้างทีมขึ้นมา แล้วไปซื้อบทภาพยนตร์ที่พอใช้ได้มาสักเล่ม ก็สามารถดึงเงินลงทุนก้อนโตได้แล้ว จากนั้นใช้ต้นทุนประมาณหนึ่งล้าน ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเป็นระยะเวลาครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน ก็สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
ทว่ายุคทองที่เป็นของวงการบันเทิงฮ่องกงได้ผ่านไปแล้วสิบกว่าปี ปัจจุบันบริษัทภาพยนตร์โทรทัศน์ในฮ่องกงอย่างมากก็เหลือเพียงหนึ่งในสี่ของยุครุ่งเรืองเท่านั้น แต่จำนวนก็ยังมากเช่นเดิม และบริษัทที่พอยืนหยัดต่อไปได้ ก็มักจะมีฐานที่มั่นคงและเอกลักษณ์เฉพาะตัวในรูปแบบที่ต่างกัน
เจียหยางพิคเจอร์สถึงแม้ตำแหน่งในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์จะไม่อาจเทียบกับยักษ์ใหญ่ระดับสูงได้ แต่ในฐานะบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ ศักยภาพและอิทธิพลของบริษัทก็ไม่ต่ำเลย โดยเฉพาะหลังจากที่ถูกโจวอี้นักธุรกิจชาวฮ่องกงเข้าซื้อกิจการ แล้วยกเครื่องใหม่ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็มีภาพยนตร์ที่ทำรายได้ดีสองสามเรื่องอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้เฉินเหวินเฉียงถึงแนะนำให้สตูดิโอลู่เฉินร่วมงานกับเจียหยางพิคเจอร์ส
ทีมงานของเจียหยางพิคเจอร์สพร้อมเริ่มงานเสมอ และมากด้วยประสบการณ์ บริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์แห่งนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเครือโรงภาพยนตร์ใหญ่สองสามแห่ง สามารถออกฉายในท้องถิ่นฮ่องกงได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถเรียกเรตติ้งที่ไม่เลวได้อีกด้วย
สำหรับสตูดิโอลู่เฉินที่เพิ่งก่อตั้ง ได้เพื่อนร่วมงานแบบนี้ถือว่าลดปัญหาได้เยอะมาก
แต่ตอนที่เจรจาครั้งแรกกลับไม่ราบรื่น เจียหยางพิคเจอร์สเสนอราคาสูงเกินไป จะพูดว่าโลภมากก็ไม่ได้ แต่ก็เกินขีดจำกัดของลู่เฉินมากนัก
แน่นอนว่างบลงทุนภาพยนตร์ที่มากถึงสามสิบล้านหยวน ไม่ใช่แค่นั่งกินข้าวแล้วคุยกันก็สามารถตกลงกันได้ง่ายๆ การเข้าถือหุ้นเกี่ยวข้องกับข้อกำหนดหลายอย่าง สิ่งที่เรียกว่าเจรจาแท้จริงแล้วก็คือขั้นตอนการต่อรองราคาและหยั่งเชิงขีดจำกัดต่างๆ ของกันและกัน และมักจะต้องผ่านเกมการแข่งขันถึงจะบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้าย
ลู่เฉินได้คาดการณ์สิ่งเหล่านี้เอาไว้ล่วงหน้า ดังนั้นด้านหนึ่งเขาเริ่มเตรียมงานถ่ายทำภาพยนตร์ อีกด้านหนึ่งก็เตรียมตัวเตรียมใจเพื่อเจรจากับเจียหยางพิคเจอร์สต่อ
ถ้าหากตกลงกันไม่ได้จริงๆ ก็ต้องเปลี่ยนบริษัทแล้วเจรจาใหม่ หรือไม่ก็ตั้งทีมขึ้นมาเอง
แน่นอนว่านั่นคือตัวเลือกสุดท้าย เพราะเวลาและเงินทุนที่ต้องเสียสูงกว่ามาก ซึ่งขัดกับแผนของเขา
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เฉินคาดไม่ถึงก็คือ เมื่อวานเขากับเฉินเหวินเฉียงและวั่นเสี่ยวเฉวียนเพิ่งจะไปเจรจาที่เจียหยางพิคเจอร์ส ได้เจอจางอีฝานผู้จัดการทั่วไปของอีกฝ่ายแล้ว วันนี้โจวอี้เถ้าแก่ผู้อยู่เบื้องหลังของเจียหยางพิคเจอร์สกลับเป็นฝ่ายมาหาเขาถึงที่
หรือนี่จะเป็นเพราะผลกระทบที่มาจากหลิวกั่งเซิง
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ลู่เฉินก็ประเมินอิทธิพลของซูเปอร์สตาร์ราชาเพลงชาวฮ่องกงคนนี้ต่ำเกินไปจริงๆ
เมื่อคิดอย่างฉับไว ลู่เฉินยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาพูดกับหลีเจินว่า “เชิญคุณโจวไปนั่งรอที่ออฟฟิศของผมก่อนแล้วช่วยขอโทษแทนผมด้วยครับ”
คุณนายจินยังนั่งอยู่ตรงนี้ ถ้าหากเขาทิ้งกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าไปต้อนรับโจวอี้ นั่นคืออีคิวต่ำมากๆ
แม้ว่าคนหลังจะมาเจรจาเรื่องการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ก็ตาม
“ค่ะ คุณลู่”
หลีเจินพยักหน้า ขานรับหนึ่งทีแล้วจึงออกไปต้อนรับโจวอี้
คุณนายจินยิ้มกริ่มแล้วเอ่ยว่า “คุณลู่ เถ้าแก่ใหญ่โจวอี้มาหาด้วยตัวเอง เขาน่าจะมาคุยเรื่องถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่กับคุณใช่ไหมคะ งั้นคุณต้องจับเขาให้อยู่หมัด จัดการเขาให้น่วมสักครั้งถึงจะดี!”
‘คุณลู่’ คำนี้เป็นคำเรียกขานที่เป็นเอกลักษณ์ของฮ่องกงมาก ตอนแรกหม่าหรงเจินเรียกแบบนี้ก่อน จากนั้นเฉินเหวินเฉียงก็เรียกแต่ ‘คุณลู่’ แล้วก็ ‘คุณลู่’ ตอนนี้แม้แต่หลีเจินกับคุณนายจินก็เปลี่ยนคำเรียกขานไปด้วย
เดิมทีในฐานะแขก การแอบถามเรื่องของแขกอีกคนหนึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีมารยาท แต่คุณนายจินเป็นผู้หญิง และยังยิ้มให้ความเป็นกันเองสูงมาก คำพูดคำพูดจาก็ดูเหมือนจะสนิทกับโจวอี้ จึงรู้สึกแปลกใจมาก
ลู่เฉินสงสัย “คุณนายจินกับเถ้าแก่โจวเป็นเพื่อนกันเหรอครับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar