ตอนที่ 650 ครบรอบสองปี
ยุคสมัยที่แตกต่างกัน นักร้องก็ไม่เหมือนกัน
นักร้องชื่อดังหลายคนที่เข้าวงการในยุคแปดศูนย์เก้าศูนย์ แม้ว่ามาจนถึงตอนนี้จะมีหลายคนที่ออกจากวงการเพลงหรือหายเงียบไป แต่ในแง่ของนิสัยและศีลธรรม บ่อยครั้งที่ได้รับคำยกย่องชื่นชม และมีเพียงส่วนน้อยที่ใจร้อน
มองจากในหลายๆ ด้าน เว่ยซินหรานและถานหงมีความคล้ายคลึงกันมาก ถึงแม้เว่ยซินหรานจะไม่โด่งดังเท่าถานหง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือการปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจ เต็มใจที่จะช่วยเหลือรุ่นน้องและยังมีใจที่เปิดกว้างอีกด้วย
ถ้าเกิดว่าที่นี่ในวันนี้เป็นนักร้องหนุ่มสาวรุ่นใหม่พวกนั้นที่จัดคอนเสิร์ต แล้วถูกลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์แย่งซีนไปแบบนี้ละก็ เดาว่าถ้าไม่ตกใจแต่ก็ปลื้ม ก็คงจะรู้สึกขุ่นเคืองริษยาไปแล้ว มีน้อยคนนักที่จะสามารถรักษาความสงบของตัวเองไว้ได้
เว่ยซิ่นหรานไม่มีวันที่จะทำแบบนั้น เขาแสดงความขอบคุณและชื่นชมลู่เฉินอย่างจริงใจต่อหน้าผู้ชมทุกคน ไม่ได้รู้สึกว่าวิธีการพูดแบบนี้จะทำให้ตัวเองเสียหน้าเลยสักนิด
“ขอบคุณคุณลู่เฉิน ขอบคุณคุณเฉินเฟยเอ๋อร์ ค่ำคืนนี้ทำผมเซอร์ไพรส์สุดๆ ไปเลย ขอบคุณมาก!”
ในกลุ่มผู้ชม เฉินเฟยเอ๋อร์เป็นคนแรกที่ปรบมือดังกึกก้อง ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นตามมา
ลู่เฉินรู้สึกเขินอายเล็กน้อยที่ได้รับคำชมจากผู้อาวุโสท่านนี้ พูดตอบไปว่า “พี่เว่ยจะชมกันเกินไปแล้ว ผมรู้สึกละอายใจจริงๆ ”
เว่ยซิ่นหรานยิ้มแล้วพูดว่า “นายไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอกน่า ฉันไม่ขอยืมเงินนายหรอก”
เหล่าผู้ชมต่างปรบมือให้พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอย่างถูกใจ
เว่ยซิ่นหรานดึงตัวลู่เฉินเข้ามาแล้วกล่าวว่า “ขึ้นมาแล้วก็อย่าคิดที่จะหนีไปไหน มาร้องเพลงให้ทุกคนฟังกันสักเพลงเถอะ!”
ลู่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าแล้วตอบตกลงทันที “ตกลง แต่ผมอยากจะร้องเพลงกับพี่เว่ย พวกคุณว่าดีไหม”
ประโยคสุดท้ายเขาพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นเพื่อถามผู้ชม
ผู้ชมตอบรับอย่างกระตือรือร้น “ดี!”
เว่ยซิ่นหรานไม่ได้คัดค้าน และถามว่า “แล้วเราจะร้องเพลงอะไรกันดีล่ะ เพลงของนายฉันร้องได้เกือบทั้งหมดเลยนะ”
ลู่เฉินยิ้มตอบ “ผมต้องร้องเพลงของพี่เว่ยอยู่แล้ว เอาเป็นเพลง ‘ความปรารถนา’ ดีไหมครับ”
‘ความปรารถนา’ เป็นหนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงของเว่ยซิ่นหราน อัลบั้มชื่อเดียวกันนี้เคยขายได้หลายล้านแผ่นในแผ่นดินใหญ่ เป็นตัวแทนแสดงถึงความสำเร็จของเว่ยซิ่นหรานในช่วงที่อาชีพการงานของเขาขึ้นสู่จุดสูงสุด
เว่ยซิ่นหรานหัวเราะและพูดออกมาเสียงดัง “งั้นเราก็มาร้องเพลง ‘ความปรารถนา’ ด้วยกันเถอะ!”
……
เมอร์เซเดสเบนซ์สีดำขับไปตามถนนสายยาว บดบังแสงและเงาบนพื้นดิน หน้าต่างหนาทึบกันเสียงจากภายนอก ปล่อยพื้นที่เงียบสงบไว้ให้กับเบาะหลังที่กว้างขวาง
เฉินเฟยเอ๋อร์นั่งพิงแขนของลู่เฉิน ดวงตาเป็นประกายปิดลงครึ่งหนึ่ง ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงก่ำ เสียงหอบหายใจดังออกมา
หลังจากดูคอนเสิร์ตของเว่ยซิ่นหรานเสร็จแล้ว เมื่อถึงเวลาออกมาจากศูนย์วัฒนธรรมหย่วนฟาง ก็เจอกับแฟนๆ จำนวนมากที่เฝ้ารออยู่ด้านนอก ถ้าไม่ใช่เพราะการปิดกั้นอย่างแน่นหนาจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คาดว่าจนถึงตอนนี้ทั้งสองคนก็ยังคงหนีไม่พ้น
ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็เถอะ เมื่อกี้ลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์วิ่งหนีราวกับจะเอาชีวิตรอดมาไม่ใช่ระยะทางสั้นๆ เลยโชคดีที่จางเสี่ยวฟางมารับได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นคงจะยุ่งยากมากไปกว่านี้
“บอกให้ออกมาก่อนคุณก็ไม่ฟัง…”
ลู่เฉินยื่นมือออกไปเขี่ยจมูกของเฉินเฟยเอ๋อร์และพูดว่า “จะต้องดูให้จบให้ได้”
เฉินเฟยเอ๋อร์ตีมือของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงบูดบึ้ง “นี่เป็นคอนเสิร์ตอำลาของรุ่นพี่เว่ยเชียวนะ ฉันต้องอยากดูจนจบอยู่แล้วน่า”
เพลงสุดท้ายนั้นซึ้งมาก ผู้ชมทั้งหมดหนึ่งหมื่นเจ็ดพันคนลุกขึ้นยืนเพื่อร้องเพลง ‘ไม่สามารถลืมได้’ของเว่ยซิ่นหรานไปพร้อมๆ กันกับเขา นักร้องรุ่นใหญ่จากไต้หวันคนนี้ยืนน้ำตาไหลพรากอยู่บนเวที ร้องเพลงออกมาเป็นเสียงสะอึกสะอื้นของตนเอง
เฉินเฟยเอ๋อร์เองก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน ถึงแม้จะผ่านไปกี่ยุคสมัย ในฐานะนักร้องเหมือนกันก็รู้สึกแบบเดียวกันนั่นเอง
ขณะที่พูด รถเมอร์เซเดสเบนซ์ก็ค่อยๆ ชะลอเข้าข้างทางและหยุดลง
ลู่เฉินมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถึงแล้ว”
“เอ๊ะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar