ตอนที่ 75 อย่าลืมปี 2015
วันที่ 9 เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 งานรับปริญญารุ่นปี 2011 ของมหาวิทยาลัยเจียงไห่ถูกจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่เหอเหลียงเหว่ย
หอประชุมใหญ่เหอเหลียงเหว่ยก่อสร้างขึ้นโดยเงินบริจาคจากเหอเหลียงเหว่ยมหาเศรษฐีอันดับต้นในมาเก๊าและนักธุรกิจที่รักประเทศ ใช้สไตล์การก่อสร้างแบบจีนทั้งหมด มีขนาดใหญ่ ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ที่นั่งชั้นบนและชั้นล่างรวมกันสามารถจุผู้ชมได้ 6,500 คน
เหอเหลียงเหว่ยเป็นราชานักพนันที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก มีโรงแรมใหญ่ระดับเจ็ดดาวทั้งในมาเก๊าและปักกิ่งกับบ่อนคาสิโนสุดหรูหราอีกสามแห่ง ขอบเขตของกิจการที่เกี่ยวข้องคือการพนันและลอตเตอรี่ อสังหาริมทรัพย์ โลจิสติกส์ และงานบันเทิงเป็นต้น มีทรัพย์สินเกินกว่าห้าหมื่นล้าน
ราชานักพนันคนนี้เกิดในครอบครัวที่ยากจน เรียนมัธยมศึกษาตอนต้นไม่จบก็วิ่งไปเป็นพ่อค้าขายปลาตามท้องถนน จากนั้นก็อาศัยความขยันและสมองที่ชาญฉลาดเดินไปทีละก้าวจนกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในมาเก๊า เป็นตำนานในมหานครใหญ่ยุคปัจจุบันอยู่ช่วงหนึ่ง
ทว่าสิ่งที่ทุกคนต่างเล่าขานกันอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่ประสบการณ์การบากบั่นต่อสู้ของเขา แต่เป็นความโชคดีที่ผู้หญิงสวยต่างก็ชอบราชานักพนันคนนี้
เหอเหลียงเหว่ยมีหน้าตาอัปลักษณ์ แต่กลับมีภรรยาถึงเจ็ดคน นอกจากภรรยาใหญ่ที่แต่งงานตามกฎหมายแล้ว ก็ยังมีอีกหกคน อยู่ที่มาเก๊าสี่คนและที่ฮ่องกงอีกสองคน มีลูกชายและลูกสาวรวมกันทั้งหมดสิบเก้าคน ถือว่าเป็นผู้ชนะในการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
หลังจากเหอเหลียงเหว่ยเข้าสู่วัยชราเขาก็ชอบทำการกุศล ทุกปีเขาจะบริจาคเงินเพื่อการกุศลมากกว่าหนึ่งพันล้าน ส่วนใหญ่จะช่วยบริจาคในด้านการศึกษาและการรักษาทางการแพทย์ สถานที่ก่อสร้างอย่างโรงพยาบาล ห้องสมุด หอประชุม อาคารห้องปฏิบัติการ โรงยิมและสถานที่ก่อสร้างอื่นๆ มากกว่าหนึ่งร้อยแห่งจะตั้งชื่อตามชื่อของเขา
หอประชุมใหญ่เหอเหลียงเหว่ยของมหาวิทยาลัยเจียงไห่สร้างขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว และยังเป็นแถวหน้าของสถาปัตยกรรมแบบเดียวกันในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
เวลาเก้าโมงเช้า มีคนนั่งเต็มทุกที่นั่งภายในหอประชุม
ลู่เฉินและเกาเฮ่อสามคนนั่งอยู่แถวหลังของชั้นล่าง รอบตัวพวกเขาคือเพื่อนนักศึกษาห้องเดียวกันคณะเดียวกันทั้งหมด
เนื่องจากนักศึกษาชั้นปีที่สี่จะมีช่วงปฏิบัติงานเพื่อสังคมครึ่งปี จึงมีเพื่อนนักศึกษาที่คุ้นหน้าหลายคนไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้ว ทุกคนได้เจอกันที่นี่อีกครั้งย่อมดีใจมากเป็นพิเศษ พูดคุยหัวเราะและถามสารทุกข์สุกดิบด้วยความห่วงใย
แต่พอคิดว่าหลังจากวันนี้ก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว ก็รู้สึกเศร้าและอาลัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ลู่เฉินยื่นหนังสือขอปฏิบัติงานเพื่อสังคมล่วงหน้าครึ่งปี พอคำนวณแล้วเขาออกไปจากมหาวิทยาลัยหนึ่งปีแล้ว มีเพื่อนนักศึกษาหลายคนวิ่งเข้ามาคุยกับเขาสองสามประโยคโดยเฉพาะ ถามความเป็นอยู่ของเขาในช่วงนี้และแผนในอนาคต มีบางคนอยากชวนเขามาสร้างบริษัทด้วยกัน
ลู่เฉินมีมนุษยสัมพันธ์ในมหาวิทยาลัยที่ไม่เลว ถึงแม้จะไม่ได้ชอบเขาทุกคน แต่คนที่ยอมเป็นเพื่อนกับเขาก็มีไม่น้อย
แน่นอนว่าก็มีบางคนที่เห็นเขาขัดหูขัดตา
อย่างเช่นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงคนนี้ที่เพิ่งเดินผ่านมา ใบหน้าฉายความดูถูก พูดอย่างกวนๆ ว่า
“ลู่เฉิน นายอยู่ที่ปักกิ่งเป็นยังไงบ้าง ชีวิตคนหลงกรุงไม่ง่ายใช่ไหมล่ะ เงินที่หาได้พอกินข้าวไหม”
“จางจินผิง นายไม่พูดก็ไม่มีใครว่านายเป็นใบ้นะ!”
ลู่เฉินยังไม่ได้ตอบ เกาเฮ่อก็โกรธแล้ว
เขาพลันลุกขึ้น ก้มมองอีกฝ่ายตาเขม็ง “คันเนื้อคันตัวนักใช่ไหม”
ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงถอยหลังไปครึ่งก้าว แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เกาเฮ่อ นายอย่าเป็นคนไม่สำนึกบุญคุณ ฉันถามลู่เฉินก็แค่อยากช่วยเท่านั้น เดือนหน้าฉันจะไปทำงานที่บริษัทอี้หว่าง อยู่ในปักกิ่งเหมือนกันจะได้คอยดูแลช่วยเหลือกันไง”
บริษัทอี้หว่างเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตสิบอันดับแรกของประเทศ นอกจากนี้ยังมีรายชื่อการซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นแนสแด็กของสหรัฐอเมริกา สำหรับนักศึกษาที่จบจากคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยเจียงไห่แล้วคือตัวเลือกในการทำงานที่ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงที่ชื่อจางจินผิงคนนี้จึงตื่นเต้นดีใจอย่างไม่ปิดบัง
“บริษัทอี้หว่าง? นั่นมันสถานที่เลี้ยงหมูที่มีชื่อเสียงไม่ใช่เหรอ”
โจวรุ่ยพูดจาแปลกๆ “อืม ที่นั่นเหมาะสมกับนายมากๆ!”
เถ้าแก่ของบริษัทอี้หว่างเสียเงินทุนจำนวนมหาศาลเมื่อสองปีก่อน เปิดฟาร์มเลี้ยงหมูแนวอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ทันสมัยแห่งหนึ่ง ได้ยินว่าเสียเงินไปหลายสิบล้าน บริษัทอี้หว่างจึงถูกเรียกว่าฟาร์มเลี้ยงหมู นอกจากนี้ยังมีความหมายแฝงอย่างอื่นด้วย
เกาเฮ่อกับว่านหงจื้อหัวเราะลั่นขึ้นมา
ลู่เฉินก็หัวเราะ แล้วพูดว่า “จางจินผิง น้ำใจของนายฉันรับไว้แล้ว นายกลับไปนั่งที่ของตัวเองเถอะ”
จางจินผิงก็อยู่คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์เช่นกัน เพียงแต่เขาอยู่คณะเดียวกันแต่เรียนคนละห้อง ตอนนั้นไอ้หนุ่มคนนี้ก็เคยตามจีบหวางอิ๋ง ผลคือถูกลู่เฉินคว้าไปครอง เขาจึงกลายเป็นผู้แพ้ไปโดยปริยาย
ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงของครอบครัวลู่เฉิน และยังเลิกกับหวางอิ๋ง จางจินผิงจึงมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเป็นอย่างมาก แถมยังพูดเยาะเย้ยถากถางลู่เฉินไม่น้อย ชอบทำตัวเป็นคนเลวที่โอหังตลอดเวลา
เขาคิดว่าวันนี้คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้โจมตีลู่เฉิน ดังนั้นจึงตั้งใจมาพูดเยาะเย้ยเขาเป็นพิเศษ ผลสุดท้ายคือถูกเกาเฮ่อและโจวรุ่ยสองคนตอกกลับจนหน้าเสีย หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ!
ลู่เฉินไม่อยากถือสาอีกฝ่าย ตอนที่เขาตกต่ำที่สุดก็ไม่เคยเห็นจางจินผิงอยู่ในสายตา
นับประสาอะไรกับตอนนี้?
จางจินผิงอยากจะพูดเยาะเย้ยอีกสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของเกาเฮ่อ สุดท้ายเขาจึงได้แต่เดินกลับไปด้วยความโกรธ
แต่ก่อนเขาก็เคยถูกเกาเฮ่อชกมาแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar