หากไม่ถึงที่สุดแล้ว หลี่ฝางก็จะไม่ใช้สารกระตุ้นสเต็มเซลล์ ให้โหจื่อกินเด็ดขาด
นี่คือช่วงเวลาวิกฤตที่สุดของบ้านตระกูลหลี่
จะต้องไม่ให้โหจื่อนอนหลับไปอย่างเด็ดขาด
หากใช้สารกระตุ้นประเภทสเต็มเซลล์แล้ว หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ก็ไม่สามารถใช้พละกำลังได้อีกเลย ไม่เช่นนั้นแล้ว อวัยวะภายในทุกส่วนของร่างกาย จะรับภาระอย่างหนักหน่วง จนได้เกิดความเสียหายร้ายแรง เบาสุดก็แค่บาดเจ็บ หากอาการหนักก็ถึงกับเป็นอัมพาตเลยทีเดียว
หลี่ฝางขมวดคิ้ว มองดูนักฆ่าพวกนี้ “คนพวกนี้ เป็นใครกันแน่? พวกเขากับท่านจวนมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไรกันแน่?”
“เซราฟิม เป็นองค์กรนักฆ่าที่เกิดขึ้นในประเทศนานมาแล้ว ได้ยินมาก็หลายครั้ง สัมผัสมาก็หลายครั้งแล้ว ก่อนหน้านั้น ก็ไม่เคยได้ยินว่าพวกเขากับท่านจวนจะมีความสัมพันธ์อะไรกัน หลายปีที่ผ่านมานี้ เห็นได้ชัดว่า ท่านจวนยังทำเรื่องอะไรลับๆไว้ไม่น้อยเลย เพียงแต่พวกเรายังไม่รู้” ลุงเฉียนพูด
ก็ถูกต้องแล้ว อย่างน้อยเวลาก่อนหน้านั้น ลุงเฉียนก็ถือว่าท่านจวนเป็นคนพวกเดียวกันมาโดยตลอด จึงไม่ได้ติดตามตรวจสอบอย่างละเอียด
แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นปัญหาอันตรายถึงชีวิตสำหรับตัวเองไปแล้ว
หลังจากที่โหจื่อไล่สังหารนักฆ่า10กว่าคนติดต่อกันไปแล้ว ในสุดท้ายก็หมดแรงทนต่อไปไม่ไหว เขานั่งลงไปกับพื้น แล้ววางปืนลงตรงหน้าตัวเอง ราวกับว่าเป็นการเตือนนักฆ่าพวกนี้อย่าทำเกินเหตุ
ท่านจวนหรี่ตามองอย่างชื่นชม
ท่านจวนมองดูหม่าเฟิงแล้วถามว่า “แกคิดว่าตอนนี้โหจื่อ ยังจะทนได้อีกนานเท่าไหร่?”
หม่าเฟิงไม่สามารถบอกจำนวนตัวเลขที่แน่ชัดได้ เพราะว่าโหจื่อเคยเล่นตุกติกหลายครั้งแล้ว เขาก็เหมือนนักแสดงนำฝ่ายชาย ฝีมือการแสดงสมจริงมาก ในตอนนี้ หม่าเฟิงก็ดูไม่ออกว่าโหจื่อแกล้งทำ หรือว่าเหนื่อยจริงกันแน่
หม่าเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านจวน ฉันก็ดูไม่ออก แต่ฉันคิดว่า ทุกคนล้วนจะมีขีดจำกัดของตัวเอง ตอนเมื่อกี้ ฉันก็เห็นท่าทางของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นช้าลงแล้ว ฉันรู้สึกว่า ร่างกายของโหจื่อ เริ่มที่แสดงความอ่อนล้าออกมาแล้ว”
“สถานการณ์อย่างนี้ ถ้าจะพักไม่กี่นาที ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
“ก็เพียงแต่ทำให้กล้ามเนื้อร่างกายทุกส่วนของเขาผ่อนคลายลงเท่านั้น ถ้าหากอีกเดี๋ยวจะสู้ต่อไป เกรงว่าจะเกิดผลข้างเคียงขึ้นมา”
หม่าเฟิงขมวดคิ้ว รู้สึกสงสัยเล็กน้อย “แต่ว่า โหจื่อถือเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เหตุผลง่ายๆแค่นี้เขาไม่น่าจะไม่เข้าใจนะ”
“แกหมายความว่า โหจื่อไอ้หมอนี่กำลังแกล้งหลอกเราเหรอ?”
ท่านจวนขมวดคิ้ว มองดูโหจื่อ ถามด้วยความสงสัยว่า “หรือว่าเขากำลังถ่วงเวลา? เพียงแต่ว่า เขาถ่วงเวลารอใครอยู่เหรอ? หล่อซ่ากับส้าวส้วยก็ไม่อยู่ แม้แต่เมี๋ยวชุ่ยก็ยังพาแม่มดออกไปแล้ว บ้านตระกูลหลี่นี้ ยังเหลือใครอีกหรือ?”
ท่านจวนคิดไม่ออกว่าจะมีใครได้อีก
หรือว่าอาจจะมีหลิงหลงอีกคนหนึ่ง แต่ผู้หญิงคนนั้น ก็ไม่น่ากลัวอะไรเลย
เธอก็ยังไม่ได้อยู่ในสายตาของท่านจวนเลย หลังจากที่ได้พักสักครู่แล้ว ภายใต้การยั่วยุของเหล่านักฆ่าทั้งหลาย โหจื่อก็ลุกขึ้นมาใหม่ “ในเมื่อพวกแกแต่ละคนจะรีบไปเกิดใหม่กันทั้งนั้น งั้นฉันก็จะช่วยสงเคราะห์พวกแกอีกแรง”
โหจื่อพูดจบ ก็ยืนขึ้นมา แล้วบุกไปยังพวกนักฆ่าพวกนั้น
การจู่โจมครั้งนี้ ทำให้นักฆ่าทั้งหลาย สับสนงงไปหมดเลย
นักฆ่าพวกนี้ไม่ใช่ฝูงแกะ ตัวโหจื่อนี้ก็ไม่ใช่เสือที่ดุร้าย อย่างมากก็เป็นแค่หมาป่าที่เหนื่อยล้าเท่านั้น
เขาบุกเข้าไปในกลุ่มคนพวกเขาเช่นนี้ งั้นไม่ใช่ไปรนหาที่ตายเหรอ?
หารู้ไม่ว่า หลังจากที่โหจื่อบุกเข้าไปแล้ว ในมือปรากฏมีกระบี่อ่อนที่แหลมคมด้ามหนึ่ง
กระบี่อ่อนเล่มนี้แหลมคมมาก ฟาดฟันไปบนร่างของคนจำนวนไม่น้อย ส่วนนักฆ่าพวกนั้นในมือจับแต่มีดสั้น ซึ่งเป็นอาวุธชนิดสั้นทั้งนั้น
อาวุธสั้นชนิดนี้ ก็คงไม่แข็งแกร่งเท่ากับอาวุธยาวของโหจื่ออย่างแน่นอน
พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใกล้โหจื่อเลย แต่กลับถูกโหจื่อใช้กระบี่ตัดเส้นเอ็นมือขาดไปตามตามกัน
ใช้เวลาเพียงแค่สองนาที โหจื่อถึงกับจัดการล้มนักฆ่าไป20กว่าคนไปแล้ว แน่นอนโหจื่อก็พยายามถอยออกมา ในลำตัวของเขาก็ปรากฏมีบาดแผลและเลือดออกหลายที่
ผ่านไปไม่นานนัก ร่างกายของโหจื่อ ก็เต็มไปด้วยเลือดแล้ว
หลังจากที่โหจื่อถอยออกมาได้แล้ว เขาใช้กระบี่อ่อนพยุงตัวเองไว้ แต่ว่า กระบี่อ่อนกลับค่อยๆอ่อนตัวลง ส่วนโหจื่อก็ล้มลงไปกับพื้นทันที
ทุลักทุเลมาก
เมื่อท่านจวนเห็นฉากนี้แล้ว ก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วพูดกับหม่าเฟิงว่า “แกรีบไปฆ่าเขาเร็ว”
สังหารโหจื่อ นับว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ทีเดียว
แต่ว่า หม่าเฟิงจะฉวยโอกาสที่คนอื่นกำลังบาดเจ็บได้อย่างไรกัน
หม่าเฟิงพูดด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ฉันถูกยิงแล้ว ท่านจวนเปลี่ยนเป็นคนอื่นเถอะ”
“เศษสวะ ก็เพียงแค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้นเอง ตอนนี้โหจื่อกลายเป็นคนพิการคนหนึ่ง ขยับตัวก็ไม่ได้แล้ว แกยังกลัวเขาทำไมกัน?”
ท่านจวนมองค้อนหม่าเฟิง แล้วพูดกับหวางเชาว่า “หวางเชา แกไปเลย”
หวางเชาพยักหน้า ไม่มีการลังเลใดๆทั้งสิ้น เขาเดินตรงเข้าไปหาโหจื่อ มองดูโหจื่อแล้วพูดว่า “โหจื่อ ฉันนับถือแกนะ แกใช้ระยะเวลาสามปี ก็สามารถล้ำหน้ากว่าพวกเราสี่คนพี่น้องทุกคนเลย แต่ว่า แกยังไงก็หลีกพ้นจากความตายไม่ได้ เพราะว่าแกเลือกยืนข้างผิดแล้ว”
“ยืนข้างผิดเหรอ?” โหจื่อหัวเราะ “หลอซ่ามีค่าพอที่ฉันจะตายเพื่อเขา พ่ายแพ้เพื่อเขา”
“ลงมือสิ” โหจื่อพูดอย่างไม่แยแสว่า “ฆ่าฉันแล้ว จะได้ไปเอาความดีความชอบจากเจ้านายแก”
หวางเชานั้นขมวดคิ้ว คำพูดของโหจื่อนี้ มีความหมายประชดประชันเขาอย่างชัดเจน ขณะที่เขากำลังจะลงมือนั้น หลี่ฝางก็วิ่งมาอย่างรวดเร็ว แล้วยืนขวางอยู่ตรงหน้าโหจื่อ
“คุณชาย คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้เขาหรอก” โหจื่อพูดอย่างหมดแรง
หลี่ฝางส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ฉันก็ไม่ยอมยืนดูแกตายอยู่ในเงื้อมมือของเขา ตรงนี้ฉันไม่สามารถทำได้ อีกอย่างหนึ่ง ฉันกับเขาก็ยังไม่ได้สู้กันเลย ทำไมจะต้องรีบตัดสินแบบนั้นล่ะ?”
ในขณะที่โหจื่อคิดอยากจะพูดอะไรอีก หวางเชานั้นก็บุกเข้ามา ชกหมัดเข้าไปอย่างจัง
ส่วนหลี่ฝางยังยืนอยู่กับที่ ไม่หลบแม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้หวางเชาชกหมัดลงบนหน้าอกของตัวเอง
ชกเข้ามาเสียงดังปั้ง หลี่ฝางรู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกันนั้น หลี่ฝางก็ชกหมัดออกไปอย่างแรง ทำให้หวางเชาถอยห่างออกไปหลายสิบเมตร
หลี่ฝางก็ใช้กลวิธีเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แต่ว่าก่อนที่จะใช้กลวิธีนี้ หลี่ฝางก็ได้คิดคำนวณมาก่อนแล้วว่า หวางเชานี้เคยได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่แล้ว บาดแผลของเขา คงยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก
ส่วนร่างกายของตัวเอง หลังจากที่ได้รับการถ่ายทอดกระแสเลือดจากพ่อตัวเองแล้ว กลายเป็นแข็งแกร่งเป็นพิเศษ
ดังนั้น หมัดของหวางเชานั้น ตัวเองก็ย่อมสามารถรับมือได้
แต่ว่าหวางเชา ไหนเลยจะสามารถรับแรงปะทะจากพละกำลังทั้งหมดของตัวเองได้ล่ะ
ก่อนที่จะชกหมัดออกไปนั้น หลี่ฝางก็ได้รวบรวมพลังลมปราณทั้งหมดไว้ในกำปั้นตัวเองแล้ว
หลังจากที่หวางเชาถอยออกไปหลายเมตรแล้ว ก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก
เลือดพุ่งสาดออกมาเป็นสายหมอก หวางเชาตกลงบนพื้นอย่างแรงจนหมดสติไป
ฉากนี้ ทำให้หม่าเฟิงเบิ่งตาโต และทำให้สีหน้าท่านจวน เปลี่ยนเป็นผิดปกติไปอย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง