บทที่ 148 แลกเปลี่ยนกับอสูร[รีไรท์]
บทที่ 148 แลกเปลี่ยนกับอสูร[รีไรท์]
นักศึกษาสถาบันราชวงศ์ทั้งสองคนเมื่อได้ยินคำขู่ของชายผู้นี้ พวกเขาจึงตอบกลับด้วยอารมณ์โมโห “ทำไมพวกข้าต้องเอาโต๊ะของพวกข้าให้พวกเจ้าด้วย พวกเจ้าไม่รู้เหรอว่าพวกข้าเป็นใคร? พวกข้าเป็นนักศึกษาของสถาบันราชวงศ์เชียวนะ!”
นักศึกษาจากสถาบันราชวงศ์ทั้งสองต่างอยู่ในระดับจุดสูงสุดของขอบเขตควบแน่นลมปราณทั้งคู่ ด้วยความมั่นใจทั้งในระดับของพวกเขาบวกกับชื่อเสียงของสถาบัน พวกเขาจึงตะโกนขู่ออกไปหมายว่าฝ่ายตรงข้ามจะกลัวจนหัวหดเมื่อได้ยินชื่อของสถาบัน
หนึ่งในชายสองคนที่พึ่งเข้ามา พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้า จูเถียเหอ แห่งสำนักแสงดารา พวกเจ้าต้องการมีปัญหากันนักใช่ไหม?”
ระหว่างที่พูด จูเถียเหอได้ปล่อยแรงกดดันของพลังวิญญาณขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 9 ออกมากดดันนักศึกษาทั้งสองไว้
“ข้าเองมาถึงที่นี่ได้ 2 วันแล้ว และได้ยินเรื่องราวความมหัศจรรย์ของสถาบันราชวงศ์มาอยู่บ้าง เขาว่ากันว่าพวกเจ้านั้นล้วนแต่เป็นอัจฉริยะ แต่จากที่ข้าดูแล้วหากพวกเจ้าที่อยู่เพียงแค่ขอบเขตควบแน่นลมปราณถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ เช่นนั้นข้าที่อยู่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 9 นั้นผู้คนไม่ต้องเรียกข้าว่าเป็นปู่ของอัจฉริยะเลยงั้นเหรอ” จูเถียเหอพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มที่มากับจูเถียเหอหัวเราะขึ้นและพูดว่า “เอาล่ะ ๆ ช่างพวกเขาเถอะ ถอนพลังของเจ้าปล่อยคนพวกนี้ไปซะ พวกเขาไม่มีค่าพอให้เราใส่ใจหรอก”
จูเถียเหอพยักหน้าและถอนแรงกดดันออกจากนักศึกษาทั้งสองออก และสบถออกมาว่า “เหอะ ไอ้พวกกบในกะลาเอ๊ย ดีที่วันนี้ศิษย์พี่ข้าอารมณ์ดี บอกข้าปล่อยพวกเจ้าไป ไม่เช่นนั้นข้าจะอัดพวกเจ้าให้รู้จักที่ต่ำที่สูงกันบ้าง เอาล่ะไปให้พ้นหน้าข้าได้แล้ว ไป!”
นักศึกษาทั้งสองคนที่รู้สึกได้ว่าแรงกดดันที่จูเถียเหอปล่อยออกมานั้นได้หายไปแล้ว พวกเขาจึงรีบลุกขึ้นและวิ่งหนีจากไป
แต่ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งไปถึงบันไดนั้น หญิงสาวหน้าตางดงาม 2 คนได้เดินขึ้นมายังชั้นสองพอดี หนึ่งในนั้นได้พูดว่า “แล้วสำนักแสงดาราของพวกเจ้าสูงส่งมาจากไหนกัน ถึงกล้ามาใช้อำนาจบาตรใหญ่ในอาณาจักรของท่านปู่ข้า? หากพวกเจ้ายังทำตัววางอำนาจข่มขู่ประชาชนของข้าอีก ข้าจะไปบอกท่านปู่ของข้าให้เนรเทศพวกเจ้าออกไปจากอาณาจักร!”
หญิงสาวที่เอ่ยประโยคนี้ไม่ใช่ใครอื่น นางคือเหลียงเจี๋ย ในฐานะที่นางเป็นองค์หญิง นางย่อมทนกับภาพที่คนนอกมารังแกคนของอาณาจักรนางไม่ได้
จูเถียเหอและศิษย์พี่ของเขา เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ในตอนแรกพวกเขาเตรียมจะเถียงกลับไป แต่เมื่อพวกเขาเห็นหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลียงเจี๋ย พวกเขาจึงยั้งคำพูดของตัวเองทันที
เนื่องจากว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลียงเจี๋ยนั้น นางคือหลี่จือหลิง อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักบุปผาจันทรา
ด้วยความแข็งแกร่งของสำนักบุปผาจันทราที่มีมากกว่าสำนักแสงดาราของพวกเขาอย่างคนละชั้น รวมไปถึงบรรดาอัจฉริยะของสำนักบุปผาจันทราแต่ละคนส่วนใหญ่นั้นล้วนแข็งแกร่งมากกว่าพวกเขาทั้งคู่ พวกเขาจึงได้แต่ก้มหน้าเงียบไม่กล้าเถียงอะไรต่อ
หลี่จือหลิง เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงหัวเราะขึ้นและพูดกับเหลียงเจี๋ยว่า “เอาน่า ๆ เจี๋ยเจี๋ย อย่าไปถือสาพวกเขาเลย เมื่อครู่ข้ากำลังฟังที่เจ้าเล่ากับเกี่ยวกับศาลาศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นกำลังสนุกอยู่เลย มา ๆ เจ้าเล่าให้ข้าฟังต่ออีกทีสิ”
เหลียงเจี๋ย เมื่อนางได้ยินหลี่จือหลิงรบเร้านางจึงเมินจูเถียเหอและศิษย์พี่ของเขา และหันไปคุยกับหลี่จือหลิงถึงเรื่องของศาลาศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับพากันเดินไปยังห้องรับรองส่วนตัวของภัตตาคารจอกทองคำ
เมื่อได้ยินชื่อของศาลาศักดิ์สิทธิ์ จูเถียเหอขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที เขาสงสัยว่ามันคือสถานที่อะไรที่สามารถทำให้หลี่จือหลิง เทพธิดาแห่งสำนักบุปผาจันทราให้ความสนใจได้?
ด้วยความสงสัย จูเถียเหอจึงหันไปถามนักศึกษาสถาบันราชวงศ์ที่ยังไม่เดินไปไหน เนื่องจากตะลึงในความงดงามของเหลียงเจี๋ยและหลี่จือหลิงอยู่ให้รู้สึกตัวขึ้น เขาถามขึ้นว่า “เฮ้! พวกเจ้าทั้งสองคนน่ะ พวกเจ้ารู้จักไอ้สถานที่ ที่เรียกว่าศาลาศักดิ์สิทธิ์นี่ไหม?”
นักศึกษาสถาบันราชวงศ์ทั้งสองคนที่ถูกถามขึ้น พวกเขาต่างเลือกที่จะเงียบไม่บอกข้อมูลอะไร เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาต่างถูกจูเถียเหอรังแกและดูถูกเอาไว้ มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องช่วยเหลือคนที่พวกเขาไม่ชอบขี้หน้า
จูเถียเหอที่เห็นสีหน้าเมินเฉยของนักศึกษาสถาบันราชวงศ์ทั้งสองคน เขาจึงโน้มน้าวขึ้นว่า “ข้ายังไม่รู้จักเมืองหลวงของพวกเจ้าเท่าไหร่ เอาเป็นว่าถ้าพวกเจ้าสองคนยอมมาเป็นคนนำทางและบอกข้อมูลเกี่ยวสถานที่ต่าง ๆ ให้ข้า หลังจากนี้ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าสองคนติดตามพวกข้ากลับไปที่สำนักแสงดาราเพื่อเข้าร่วมกับพวกเรา”
เมื่อได้ยินคำโน้มน้าวของจูเถียเหอ แววตาของนักศึกษาสถาบันราชวงศ์ทั้งสองคนต่างเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
ในอดีต การที่สำนักเหล่านี้จะเข้าเมืองมาคัดเลือกผู้คนนั้นยากยิ่งนัก และพวกเขาคัดเลือกแต่ผู้มีพรสวรรค์ที่มีความสามารถขั้นสุดยอดถ้าเทียบอัตราส่วนต่อผู้เชี่ยวชาญธรรมดาก็คือหนึ่งในล้านที่จะได้เข้าร่วม ซึ่งหากวัดจากความสามารถของพวกเขา ยังไงชาตินี้พวกเขาคงไม่ถูกรับเลือกแน่นอน
แต่ตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว
เมื่อนึกถึงโอกาสที่ดีงามเช่นนี้ พวกเขาจึงกัดฟันยอมเล่าเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับศาลาศักดิ์สิทธิ์ให้กับจูเถียเหอจนหมดเปลือก
ขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมาห่างจากการประมูลของตระกูลมี่เพียง 5 วัน และข่าวโอสถที่ตระกูลมี่จะเปิดประมูลแพร่ไปไวเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
ในทุก ๆ วันเรือเหาะหรือสมบัติวิเศษที่บินได้หลากหลายชนิดจะเดินทางมาที่เมืองหลวงจำนวนมากขึ้นทุกวัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้คนในอาณาจักรจันทราได้เห็นภาพอันงดงามเช่นนี้ และเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้พวกเขาส่วนใหญ่รู้เป็นครั้งแรกว่ายังมีสำนักมากมายอยู่ที่ทวีปอื่นห่างไกลออกไปอีกมากมาย
สำนักเป็นเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของใคร ๆ หลายคน ในอดีตผู้คนจากสำนักต่าง ๆ ในทวีปเดินทางมาที่สถาบันราชวงศ์เพื่อเฟ้นหาอัจฉริยะเพียงไม่กี่หยิบมือมาเป็นลูกศิษย์ ซึ่งคนธรรมดาส่วนใหญ่ต่างทราบและเคยเห็นตัวตนเฉพาะสำนักที่อยู่ในทวีปเทียนหยวนเท่านั้น พวกเขาไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินถึงตัวตนของผู้เชี่ยวชาญจากสำนักต่างทวีปมาก่อน
ในที่สุดตอนนี้ทุกคนก็สามารถได้สัมผัสและพบเห็นกับตัวตนระดับสูงจากทวีปอื่นได้
แต่ในช่วงแรกที่สำนักจากต่างทวีปพวกนี้มาถึง บางสำนักมีนิสัยเย่อหยิ่งจองหอง เอาแต่วางอำนาจบาตรใหญ่ไม่สนใจคนของราชสำนัก บางสำนักถึงขั้นจะบุกไปยังตระกูลมี่เพื่อชิงโอสถมาทันทีที่มาถึงเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)