บทที่ 177 คนละระดับ
บทที่ 177 คนละระดับ
ขณะนี้ทุกคนต่างรอการประลองของหมิงจู้และไป๋หลิงหยุนที่กำลังจะเริ่ม โดยเฉพาะบรรดาอาจารย์ของคณะอื่น ๆ ที่ต้องการจะเห็นพัฒนาการของนาง ว่านางจะน่ากลัวได้เท่ากับเจียงซิงเฉิงหรือไม่
แต่น่าเสียดาย หลังจากการประลองเริ่มขึ้น การประลองมันแทบจะจบลงในทันที
เมื่อหมิงจู้ชักกระบี่ออกจากฝัก ไป๋หลิงหยุนเห็นได้แค่เพียงเงากระบี่รูปลักษณ์คล้ายจันทร์เสี้ยวแปดเงาพุ่งเข้ามาเฉือนร่างกายตนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เขาต้องถูกอาจารย์ของเขาเข้ามาหามร่างที่โชกเลือดออกไปจากลานประลองทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นพลังอำนาจของเพลงกระบี่ระบำจันทรา ซึ่งบรรดาผู้คนที่เห็นภาพนี้ล้วนอยู่ในความตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
แล้วแบบนี้พวกเขาจะเหลือความหวังอะไรในการชนะอีก?
นี่ขนาดหมิงจู้ที่เมื่อก่อนนางแค่อยู่ในอันดับ 20 ของการจัดอันดับเท่านั้น นางยังพัฒนาความแข็งแกร่งมาได้ขนาดนี้? แล้วถ้าเป็นเหวินเต๋าที่เคยอยู่อันดับ 5 ล่ะ? หรือถ้าเป็นคนอื่น ๆ อีกล่ะจะขนาดไหน?
จ้าวปาเทียนเมื่อเห็นสีหน้าของผู้คนที่หมดกำลังใจ เขาจึงตะโกนกระตุ้น “ถ้าพวกเจ้าทุกคนยังเอาแต่ยืนกลัวหัวหดไม่กล้าท้าพวกเขาประลองอยู่แบบนี้ พวกเจ้าก็ไม่มีค่าพอที่จะเรียกตัวเองว่าผู้บ่มเพาะต่อไป และไม่ควรที่จะเสียเวลาในการฝึกฝนต่ออีก”
“แต่ข้าจะบอกความจริงอันโหดร้ายบางอย่างให้พวกเจ้ารู้ไว้ซะก่อน พวกเจ้าเองก็เคยได้ยินเรื่องโอสถกำเนิดรากฐานแล้วใช่ไหม? ตอนนี้มีคนจำนวนมากได้ใช้มันพัฒนารากฐานทางจิตวิญญาณของพวกเขาแล้ว ฉะนั้นข้อได้เปรียบของพวกเจ้าที่มีมาตั้งแต่กำเนิดที่พวกเจ้ามีรากฐานจิตวิญญาณระดับสูงมันหายไปหมดแล้ว! ถ้าหากพวกเจ้ายังคงทำตัวเป็นคนขี้ขลาดอยู่แบบนี้ พวกเจ้าจะไม่มีทางพัฒนาตัวเองได้และในไม่ช้าพวกเจ้าจะถูกเขี่ยทิ้งไปตามวัฎจักรของยุทธภพ!”
คำพูดของจ้าวปาเทียนเช่นนี้ทำให้นักศึกษาบางคนเริ่มรู้สึกตัวกลับมามีสติจนทำให้บางคนเริ่มคิดได้
วันนี้อันที่จริงต่อให้พวกเขาแพ้มันก็ไม่ได้เสียอะไร แต่กลับกันอย่างน้อย ๆ พวกเขาก็ยังได้รับประสบการณ์การประลองกับผู้แข็งแกร่ง ซึ่งจะสามารถทำให้พวกเขาได้พัฒนาขึ้นอีกในอนาคต
และที่สำคัญนักศึกษาหลายคนของศาลาศักดิ์สิทธิ์บางคนยังอยู่ในระดับขอบเขตควบแน่นลมปราณด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณจะต้องกลัวอะไร?
หวูเหยียนเฟิง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 2 เขายืนขึ้นและตะโกนว่า “ข้าขอท้าประลอง จูเหยียน!”
นางเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกงานเย็บปักถักร้อย และระดับของนางยังอยู่แค่ขอบเขตควบแน่นลมปราณระดับ 5 ซึ่งระดับของนางอยู่ห่างจากเขามากกว่า 1 ขอบเขตกว่า ๆ เขาไม่เชื่อว่าเขาจะเอาชนะผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ไม่ได้!
เมื่อได้ยินเสียงตะโกน ‘ข้าขอท้าประลอง จูเหยียน!’ ดังขึ้น บรรดาผู้คนจึงหันไปมองเด็กสาวที่ถูกท้าประลองทันที
ทุกคนต่างสงสัยว่าวิชาที่นางบ่มเพาะนั้นคืออะไรกันแน่ แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับเศษผ้าปักลายที่อยู่ในมือนางหรือเปล่า?
จูเหยียน ผู้ซึ่งถูกท้าทาย นางลุกขึ้นเดินไปยังลานประลอง พร้อมกับมองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาลังเล
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าตอบกลับนางอย่างเข้าใจและพูดขึ้น “ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะตาย เจ้าสามารถปลดปล่อยพลังของเจ้าได้อย่างเต็มที่ หากเขาใกล้ตายเมื่อไหร่ ข้าจะขึ้นไปช่วยเขาเอง”
เมื่อทุกคนที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลิงตู้ฉิง พวกเขาต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนจนพูดไม่ออก
พวกเขาต่างคิดว่า หลิงตู้ฉิงไปเอาความมั่นใจในนักศึกษาตัวเองมาจากไหนว่านางจะสามารถสังหารคนที่มีขอบเขตการบ่มเพาะเหนือกว่านางถึง 1 ขั้นกว่า ๆ ให้ตายได้ ทั้งที่ยังไม่เริ่มประลองกันเลย?
แต่แล้วสิ่งที่ทำให้พวกเขางุนงงยิ่งกว่าคือคำพูดของจูเหยียนที่ตอบกลับไปหาหลิงตู้ฉิงด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“อาจารย์ เดี๋ยวข้าจะใช้ค่ายกลสามขุนเขานะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมาท่านต้องช่วยระวังให้เขาด้วยนะท่านอาจารย์!”
เมื่อได้ยินคำพูดของจูเหยียนเช่นนี้ หวูเหยียนเฟิงรู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้าทันที ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยถูกใครมองข้ามขนาดนี้เลยสักครั้ง เขาลงมือจู่โจมจูเหยียนก่อนทันทีด้วยฝ่ามือ
จูเหยียนที่เห็นการโจมตีกำลังเข้าใกล้ตัวนาง นางจึงรีบหลบฝ่ามือของหวูเหยียนเฟิงแบบเส้นยาแดงผ่าแปด และเปิดใช้งานค่ายกลสามขุนเขาที่ถูกสร้างขึ้นเป็นลายปักอยู่บนเศษผ้าในมือนางทันที
ทันทีที่นางเปิดใช้ค่ายกล ลวดลายที่ปักลงบนผ้าในมือนางเริ่มดูดพลังวิญญาณที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เข้ามาหาและแปลงพลังวิญญาณที่ดูดเข้ามาให้ก่อรูปเป็นภูเขาขนาดยักษ์ทับลงไปยังหวูเหยียนเฟิงที่อยู่ตรงหน้านางทันที
ถึงแม้ว่าน้ำหนักของภูเขาขนาดยักษ์ที่ลงมาทับนี้จะไม่หนักเท่าน้ำหนักของภูเขาจริง แต่น้ำหนักอย่างน้อย ๆ ของมันก็ไม่ต่ำกว่าหลายพันกิโลกรัม
แต่อำนาจของค่ายกลที่จูเหยียนปลดปล่อยออกมายังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ค่ายกลที่นางเปิดใช้ยังคงดูดพลังวิญญาณเข้ามาในตัวมันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักกดทับที่ลงมายังร่างของหวูเหยียนเฟิง เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ และก็เรื่อย ๆ
หวูเหยียนเฟิงที่ต้องเผชิญกับอำนาจกดทับระดับนี้ เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับกระอักเลือดทรุดลงไปกองกับพื้นแทบจะในทันที
เมื่อเห็นว่าหวูเหยียนเฟิงกำลังจะตายอยู่รอมร่อ หลิงตู้ฉิงจึงโบกมือขึ้นสลายค่ายกล และเรียกเศษผ้าที่ปักลวดลายค่ายกลสามขุนเขากลับไปหาจูเหยียนทันที
ซึ่งหลังจากค่ายกลสลายไปแล้ว น้ำหนักอันมหาศาลที่ทับตัวหวูเหยียนเฟิงก็หายไปเช่นกัน
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ บรรดาผู้คนที่มองการประลองอยู่ถึงกับขนลุกซู่
ไม่มีใครในพวกเขาสามารถจินตนาการออกได้เลยว่า วิถีการบ่มเพาะโดยการปักลายผ้าจะน่ากลัวขนาดนี้
พวกเขาต่างไม่เข้าใจว่าการบ่มเพาะเช่นนี้มันมีขึ้นได้ยังไง?
แล้วถ้าการปักลายผ้ายังทรงอำนาจขนาดนี้แล้วการวาดภาพล่ะจะทรงอำนาจเหมือนกันหรือเปล่า?
เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง อาจารย์คนหนึ่งที่ระดับบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 9 ลุกขึ้นยืนและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “อาจารย์หลิง ในเมื่อนักศึกษาของท่านล้วนแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ข้าคิดว่าการประลองของนักศึกษาคนอื่น ๆ คงไม่จำเป็นอีกแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นข้าอยากจะขอทดสอบความสามารถของลั่วหาวสักหน่อยจะได้ไหม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)