ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีคนจำนวนไม่น้อยที่พยายามพุ่งเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ซึ่งผู้คนเหล่านั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทางเข้าที่มืดทมิฬเหมือนสีหมึก โดยที่ทางเข้านั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แม้แต่น้อย
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของทางเข้านั้นจะมีความเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อมีผู้ที่มีกุญแจเดินเข้าไปในมันหรือคนที่อยู่ด้านในกำลังจะออกมาก็เท่านั้น
ซึ่ง 5 ปีที่แล้วก็มีผู้คนที่เริ่มออกมาจากทางเข้าของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ
คนแรกที่ออกมาคือหนิงฮ่าว
ในตอนที่หนิงฮ่าวออกมานั้นเขาได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ซึ่งร่างกายบางส่วนของเขานั้นได้หายไปคล้ายกับว่าโดนของมีคมตัดออก
ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะโอสถวิเศษของเฟิงหมานเทียน ไม่เพียงหนิงฮ่าวจะไม่สามารถฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้ แต่เขาอาจจะตายไปแล้ว
หลังจากที่หนิงฮ่าวหายจากอาการบาดเจ็บ เขากลับต้องการพบกับเสี่ยวเยว่เฟิงอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเยว่เฟิงที่เอาแต่อยู่ในค่ายกลกระบี่เหินเมฆา ดังนั้นหนิงฮ่าวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากไปอย่างไม่พอใจ
ขณะที่หนิงฮ่าวจากไป คนบางคนในฝูงชนก็มองตามเขาด้วยสายตาที่เป็นประกาย เนื่องจากพวกเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าในขณะที่หนิงฮ่าวออกมาจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ เขาได้ถือไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวไว้ในมือด้วยตอนที่เขาออกมา
ซึ่งคนทุกคนต่างรู้ดีว่าสิ่งของต่าง ๆ ที่ออกมาจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนั้นทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของที่ล้ำค่าทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นผู้พิทักษ์ที่อยู่ข้างหนิงฮ่าวก็คือ เฟิงหมานเทียน เพียงผู้เดียว ซึ่งเขานั้นเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญระดับหลุดพ้นสามัญเพียงเท่านั้น และด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่มากแบบนี้มันจึงเป็นสิ่งล่อตาล่อใจแก่ผู้คนทั้งหลายที่เห็นว่าหนิงฮ่าวกำลังจากไป
เมื่อหนิงฮ่าวและเฟิงหมานเทียนจากไปได้สักพัก เหล่าผู้คนที่ยังอยู่ด้านหน้าทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณจากการต่อสู้อย่างรุนแรง ซึ่งหลังจากนั้นความผันผวนของพลังวิญญาณจากการต่อสู้ก็ห่างออกไปเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ และจากนั้นก็หายไป
ไม่นานหลังจากหนิงฮ่าวจากไป ซือโถวเหวินหยวนก็ออกมา
ทางด้านของซือโถวเหวินหยวนนั้นได้ประสบความสำเร็จในการทะลวงผ่านไปยังขอบเขตสวรรค์ระดับสวรรค์สามัญ อย่างไรก็ตามสีหน้าของซือโถวเหวินหยวนนั้นดูหดหู่เป็นอย่างมาก เนื่องจากแม้ว่าเขาจะทะลวงขอบเขตได้ก็จริง แต่การทะลวงขอบเขตของเขานั้นต่อให้ไม่ได้เข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงเขาก็สามารถทะลวงขอบเขตได้อยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้เขาหดหู่ก็คือเขาไม่เจอโชคดีอะไรจากข้างในนั้นที่ทำให้เขาสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้เลย
หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือเขาเสียสิทธิ์ไปโดยเปล่าประโยชน์
หลังจากที่ซือโถวเหวินหยวนออกมา สีอี้เฉิง ปิงยู่หลางและคนอื่น ๆ ก็ออกมาทีละคน
ทางด้านของสีเป่ยเซียะและลั่วหยุนก็เหลือบมองไปที่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาเป็นครั้งคราว
พวกเขาทั้งคู่ต่างรู้สึกว่ามันแปลกมาก ทำไมไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เลย?
ลั่วหยุนส่ายหัว ไม่ว่าหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ จะทำอะไรเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะไปแทรกแซง แต่แล้วหลังจากที่เขาเห็นว่าศิษย์ของเขาตวนจู้ออกมาจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้อย่างปลอดภัย แถมยังสามารถทะลวงศักยภาพของนางได้และที่สำคัญนางยังได้รับสมบัติแห่งสวรรค์และโลกกลับมาด้วย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นมีความสุขทันที
“ด้วยสมบัติแห่งสวรรค์และโลกชิ้นนี้ เจ้าจะมีโอกาสสร้างสมบัติแห่งชะตาชีวิตของเจ้าได้ในอนาคต” ลั่วหยุนพูดพลางลูบหัวนางอย่างเอ็นดู
ตวนจู้เองก็มีความสุขมากเช่นกัน การเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับของนางบรรลุเป้าหมายอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ตอนนี้นางยังมีอาจารย์ที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตราชันอีกต่างหาก เมื่อนางนึกย้อนไปถึงเรื่องที่นางใช้สมบัติวิเศษสองชิ้นแลกกับโอกาสเหล่านี้มา มันก็นับว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก
“ศิษย์ต้องขอบคุณอาจารย์สำหรับการชี้แนะ!” ตวนจู้ตอบ
ลั่วหยุนหัวเราะ “เจ้าต้องขอบคุณท่านหลิงที่ให้โอกาสเจ้าเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับด้วย ต่อให้แม้ว่าเจ้าจะจ่ายเขาด้วยราคาที่สมเหตุสมผลก็ตาม”
ตวนจู้พยักหน้าและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเปี่ยมอารมณ์ “ท่านหลิงเป็นผู้ที่วิเศษโดยแท้ ทั้งที่เขามีระดับการบ่มเพาะอยู่แค่ขอบเขตประสานทะเลปราณ แต่เขากลับสามารถเข้ามายังพื้นที่ของขอบเขตรวมแสงดาราได้อีกต่างหาก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของลั่วหยุนก็หรี่ลงขณะที่เขาจ้องไปที่ตวนจู้และถามว่า “เจ้าเจอกับเขาข้างในนั้นเหรอ?”
ในระหว่างที่ถาม ลั่วหยุนก็มองไปที่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาด้วยสายตาสงสัย
ตวนจู้พยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้วท่านอาจารย์ ตอนที่ข้าอยู่ข้างใน ข้าได้บังเอิญเจอกับเขาพอดี และไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ข้าเจอ แต่รวมไปถึงลูกชายของเขา แม่นางเย่และภูตนางฟ้าคนนั้นข้าก็เจอ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)