สาเหตุที่เกาโป๋จุนและหยินอันหยูกล้าที่จะเข้ามาในสำนักวิญญาณโลหิต ‘เพื่อแสวงหาผลประโยชน์’ นั้นก็เพราะในตอนนี้สำนักวิญญาณโลหิตกำลังอ่อนแอ
แม้ว่าเว่ยกวนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิ แต่พวกเขาก็มีกัน 2 คน
แต่ตอนนี้ที่สถานการณ์เปลี่ยนไป เนื่องจากสำนักวิญญาณโลหิตฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ผลลัพธ์ที่ทั้งคู่คาดหวังไว้มันจึงพังทลายลงทันที
เมื่อมหาเต๋าแห่งโลหิตถูกฟื้นฟูขึ้นอย่างสมบูรณ์ อำนาจของค่ายกลป้องกันต่าง ๆ ของสำนักมันก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าทวีคูณ ซึ่งส่งผลให้เว่ยกวนสามารถยืมพลังของมหาเต๋าแห่งโลหิตมาต่อสู้กับพวกเขาได้
แม้ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเว่ยกวนเกือบจะเท่ากันกับพวกเขา แต่ถ้าเว่ยกวนยืมพลังมหาเต๋าแห่งโลหิตมาต่อสู้เมื่อไหร่ ความแข็งแกร่งของเขาจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าพวกเขาทันที ในสถานการณ์เช่นนี้แผนของพวกเขาที่วางกันไว้มันก็เท่ากับว่าพังทลายลงอย่างสมบูรณ์
ด้วยความพลิกผันของสถานการณ์ เว่ยกวนในตอนนี้อารมณ์ดีขึ้นเป็นอย่างมาก เขายิ้มให้เกาโป๋จุนกับหยินอันหยู และพูดว่า “ขอต้องขอโทษพวกเจ้าจริง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเสนอตัวช่วยเหลือข้า แต่ข้ากลับปฏิเสธพวกเจ้าไปอย่างน่าเกลียดแบบนั้น เอาแบบนี้ไหมน้องเกา น้องหยิน ในตอนนี้ข้าได้ลองมาคิดทบทวนดูแล้วและรู้ว่าข้านั้นเป็นฝ่ายที่ผิดเอง ในเมื่อพวกเจ้าต้องการช่วยเหลือข้าถึงขนาดนั้น ถ้างั้นข้าตกลงให้พวกเจ้าช่วยเหลือข้าทำลายผนึก แล้วจากนั้นพวกเราก็เข้าไปดูด้านในตำหนักโอสถด้วยกันดีไหม?”
ในความเป็นจริงเว่ยกวนคิดอยู่ในใจ ‘พวกเจ้ากล้าเข้ามาในสำนักข้าไหมตอนนี้?’ เมื่อไหร่ที่พวกเจ้าย่างกรายเข้ามา ข้าจะใช้มหาเต๋าแห่งโลหิตสังหารพวกเจ้าทุกคนและต่อไปอาณาเขตวิญญาณโลหิตก็จะตกเป็นของสำนักข้าแต่พียงผู้เดียว!’
เมื่อได้ยินคำชักชวนเช่นนี้ เกาโป๋จุนและหยินอันหยูก็ยิ่งไม่กล้าที่จะเข้าสู่สำนักวิญญาณโลหิต
ตอนนี้มหาเต๋าของสำนักวิญญาณโลหิตได้รับการฟื้นฟูแล้วและพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะปลดปล่อยพลังได้มากแค่ไหน หากพวกเขาเข้าไปโดยประมาท มันก็ไม่ต่างอะไรจากเอาหัวของตัวไปถวายให้กับเว่ยกวน
“เอ่อ…พี่เว่ย ข้าพึ่งได้รับการติดต่อจากศิษย์ในสำนักว่าที่สำนักมีเรื่องเร่งด่วน น้องชายผู้นี้คงต้องขอตัวก่อนไว้วันหน้า หากท่านยังปลดผนึกไม่ได้ ข้าจะมาช่วยท่านใหม่ก็แล้วกัน! ข้าขอตัว!” เกาโป๋จุนรีบพูดขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ว่าแต่ น้องหยิน เจ้าจะตามข้าไปที่สำนักของข้าก่อนไหม เมื่อข้าเสร็จธุระแล้วเราจะได้ดื่มกันต่อที่เรือนข้า?”
“พี่เกาข้าจะปฏิเสธคำเชิญของท่านได้ยังไง?” หยินอันหยูหัวเราะ
จากนั้นทั้งสองก็เพิกเฉยต่อคำชวนของเว่ยกวน และจากไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงที่พวกเขาจากไปนั้นก็เพราะพวกเขาต้องไปหารือกันใหม่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เว่ยกวนและศิษย์สำนักวิญญาณโลหิตทั้งที่เห็นภาพเช่นนี้ก็เย้ยหยันเกาโป๋จุนและหยินอันหยูอยู่ในใจ
ด้วยมหาเต๋าที่ถูกฟื้นฟูจนสมบูรณ์ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้พบกับผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังมากจริง ๆ สำนักของพวกเขาก็จะกลายเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
แต่พวกเขาก็ยังคงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองใต้ดิน? แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามหาเต๋าของสำนักนั้นดำรงอยู่ในเมืองใต้ดิน แต่มันก็ไม่มีใครกล้าลงไปเพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าในเมืองใต้ดินตอนนี้ยังคงมีอันตรายใด ๆ หลงเหลืออยู่หรือเปล่า
ในท้ายที่สุด เว่ยกวนก็ส่งบรรดาศิษย์ใหม่ที่ยังไม่ได้ฝึกฝนวิชาของสำนักวิญญาณโลหิตลงไปพร้อมกับศิทษย์ที่ฝึกแล้วอีก 1 คนเพื่อตรวจสอบสถานที่
ซึ่งหลังจากที่ส่งคนลงไปและได้รับรายงานกลับมาว่าไม่มีภัยคุกคามใด ๆ ที่ด้านล่างนั่นต่อผู้ฝึกวิชาของสำนักวิญญาณโลหิต เว่ยกวนจึงพาคนของเขาลงไปที่เมืองใต้ดินและตรงไปที่ทะเลโลหิต
เมื่อมาถึงบริเวณทะเลโลหิต เขาก็ได้เห็นว่าทะเลโลหิตที่เคยเหือดแห้งไปแล้ว ในตอนนี้มันกลับถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้เขาและคนของมีความสุขมากจนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ
แน่นอนเมื่อพวกเขาเห็นทะเลโลหิต พวกเขาก็เห็นหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทะเลโลหิต
เว่ยกวนสงบอารมณ์แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปและถาม “เอ่อ…ข้าขอทราบได้ไหมว่าพวกท่านเป็นใคร? และข้าขอถามได้ไหมว่าที่ทะเลโลหิตฟื้นฟูได้เช่นนี้เป็นเพราะพวกท่านใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงหันกลับไปมองที่เว่ยกวน และเอ่ยว่า “เจ้าฝึกฝนวิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ และยังอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้น? อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นเจ้าสำนักวิญญาณโลหิตรุ่นนี้?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เว่ยกวนดูระมัดระวังมากขึ้น เขาพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง ข้าเป็นเจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันมีนามว่า เว่ยกวน!”
หัวใจของเขาสั่นสะท้าน คนผู้นี้เห็นจริง ๆ ว่าเขาได้ฝึกฝนวิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ แถมยังสามารถมองเห็นระดับการบ่มเพาะของเขาได้?
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย “นับจากนี้เจ้าจะไม่ได้เป็นเจ้าสำนักวิญญาณโลหิตอีกต่อไป หญิงสาวในทะเลโลหิตคือเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักวิญญาณโลหิต”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)