เมื่อห้องโถงใหญ่ของสำนักวิญญาณโลหิตฟื้นตัวขึ้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคนในอาณาเขตวิญญาณโลหิตก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสำนักวิญญาณโลหิต ดังนั้นหลายคนที่มีความคิดไม่ซื่อก็เริ่มมุ่งหน้ามาที่สำนักวิญญาณโลหิต
แต่แล้วหลังจากไม่นานการเปลี่ยนแปลงของสำนักวิญญาณโลหิตระลอกสองก็ปรากฎขึ้นอีก ซึ่งรอบนี้มันทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ยังคงไม่เคลื่อนไหวในตอนแรกเริ่มถูกความโลภเข้าครอบงำ
หากเป็นเพียงภูเขาด้านหน้าของสำนักวิญญาณโลหิตฟื้นฟู มันก็จะมีเพียงสมุนไพรวิญญาณและพืชพรรณต่าง ๆ เท่านั้นที่ปรากฎ แต่ถ้าหากด้านหลังของภูเขาถูกเปิดออก มันจะหมายถึงว่าสมบัติมูลค่ามหาศาลจะปรากฎขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ตำหนักโอสถ หรือ ตำหนักยุทธภัณฑ์ ทั้งสองสถานที่นี้ต่างก็เป็นสถานที่ที่ทุกคนใฝ่ฝันว่าจะได้เข้าไป ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงหลายคนใน อาณาเขตวิญญาณโลหิต เกือบทั้งหมดต่างพากันมาที่สำนักวิญญาณโลหิต
ทางด้านของเว่ยกวนที่ค้นหาวิชาโลหิตอมตะมาได้สักพักแล้ว และดูท่าว่าจะหามันไม่เจอ เขาจึงรู้สึกผิดหวังมาก
ส่วนวิชาระดับอื่น ๆ ที่เขาหาเจอนั้นอย่างดีที่สุดพวกมันก็แค่เทียบได้กับวิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่เขาฝึกฝนอยู่แล้ว ซึ่งเขาไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนไปฝึกพวกมันยกเว้นว่าเขาจะเจอวิชาโลหิตอมตะ
“ตอนนี้ตำหนักโอสถ และ ตำหนักยุทธภัณฑ์ เปิดแล้วรึยัง?” เว่ยกวนถามขึ้น
ถึงแม้ว่าผนึกของด้านหลังภูเขาที่ถูกผีเสื้อผนึกไว้จะถูกคลายออกไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผนึกที่ปิดกั้นตำหนักโอสถและตำหนักยุทธภัณฑ์นั้นเป็นผนึกที่ถูกสร้างขึ้นแยกไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องพยายามหาทางคลายผนึกมันออกด้วยตัวเองเท่านั้น
“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราได้เปิดชั้นแรกของผนึกแล้ว ต่อไปนี้เราคงจะไม่ขาดแคลนโอสถและสมบัติวิเศษที่อยู่ต่ำกว่าระดับสวรรค์อีกต่อไป!” ผู้อาวุโส ผู้หนึ่งตอบอย่างมีความสุข
อันที่จริงสำหรับพวกเขาแล้วโอสถที่มีระดับต่ำกว่าระดับสวรรค์ไม่ใช่เป้าหมายของพวกเขา
เพราะโอสถและสมบัติเหล่านี้พวกเขาสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว
สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ ก็คือโอสถและสมบัติระดับสวรรค์ขึ้นไป ซึ่งหลาย ๆ อย่างมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้ในตอนนี้
แต่ถึงแม้ว่าโอสถและสมบัติที่อยู่ต่ำกว่าระดับสวรรค์นั้นไม่ใช่เป้าหมายจริง ๆ ของพวกเขา แต่มันก็ยังมีสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาในอนาคตของสำนักวิญญาณโลหิต
“ทำลายผนึกของตำหนักโอสถและตำหนักยุทธภัณฑ์ต่อไป เอาทุกอย่างที่เหมาะกับเราออกมาใช้ให้ได้” เว่ยกวนสั่งขึ้น “นอกจากนั้นคนอื่น ๆ ที่ว่าง จงทำความคุ้นเคยกับทุกสิ่งในสำนัก โดยเฉพาะค่ายกลป้องกันสำนักเพื่อที่เราจะได้ใช้มันได้เมื่อถึงเวลา”
ในขณะที่ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง ร่างสองร่างก็ปรากฏขึ้นเหนือสำนักวิญญาณโลหิต จากนั้นทั้งสองร่างนั้นก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “พี่เว่ย พวกเราขอแสดงความยินดีกับสำนักวิญญาณโลหิตของท่านที่ฟื้นฟูกลับมาได้เหมือนเดิม!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองร่างนี้เป็นใคร เว่ยกวนก็แอบส่งสัญญาณกับคนของเขาให้ระวังตัว จากนั้นเขาก็บินขึ้นไปบนฟ้าตรงหน้าทั้งสองคนและพูดว่า “อ๋อที่แท้ก็ น้องเกา น้องหยิน นี่เองที่มาเยือนสำนักของข้า”
เขารู้จักสองคนนี้ ซึ่งทั้งสองคนนี้คือผู้เชี่ยวชาญระดับราชันจากอาณาเขตวิญญาณโลหิต ชื่อของพวกเขาคือ เกาโป๋จุน และ หยินอันหยู พวกเขาเป็นเสาหลักของอีกสองสำนักอันแข็งแกร่ง
เกาโป๋จุนถอนหายใจ “พี่เว่ย เด็กคนนั้นเป็นเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดจริงงั้นหรือ?”
เว่ยกวนส่ายหัว “ข้าก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่า เขาเป็นเทพกระบี่กลับชาติมาเกิดจริง ๆ รึเปล่า แต่อย่างน้อย ๆ ก็เป็นเขาที่เป็นคนถอนเจตจำนงกระบี่ออกไปได้”
“ข้าเกรงว่าเขาน่าจะเป็นเทพกระบี่กลับชาติมาเกิดตัวจริงนั่นแหละ ไม่เช่นนั้นผู้อาวุโสผีเสื้อคงจะไม่ยินยอมคลายผนึกของตนเองเช่นนี้” หยินอันหยูพูดเสริมขึ้น
เว่ยกวนแค่ถอนหายใจและไม่พูดอะไรต่อ
เขาไม่ได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจะพูดอะไรได้? สำหรับหนิงฉิงที่รู้เรื่องนี้นางก็คงยังยุ่งอยู่ที่ไหนสักแห่ง!
“เอาเถอะ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครแต่ในเมื่อสำนักของพี่เว่ยฟื้นฟูขึ้นมาได้แบบนี้พวกเราก็ต้องมาฉลองกันสักหน่อย!” เกาโป๋จุนมองไปที่เว่ยกวนด้วยรอยยิ้ม และเปลี่ยนเรื่อง “แม้ว่าสำนักวิญญาณโลหิตของท่านจะโชคร้ายแต่ในความโชคร้ายมันก็ยังมีเรื่องดีอยู่เช่นกัน แม้ว่าเทพกระบี่และผู้อาวุโสผีเสื้อจะร่วมมือกันผนึกสำนักของท่าน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำลายมัน ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้สำนักวิญญาณโลหิตยังคงมีรากฐานที่สมบูรณ์ และในเมื่อตอนนี้ผนึกถูกยกเลิกแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งที่สำนักวิญญาณโลหิตสั่งสมมาในอดีต ท่านคงจะกลับไปรุ่งเรืองเหมือนในอดีตได้ไม่ยาก!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)