ผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ทั้งสี่นั้นได้แก่ หลิงยี่เทียน ฉินหวง เจียงหวง และ ซ่งว่านหลุน
หลังจากได้รับการแจ้งเตือนจากทำเนียบราชันมนุษย์ ทั้ง 4 คนจึงรีบเดินทางมาในทันที ซึ่งหลิงยี่เทียนและฉินหวงนั้นมาถึงแล้วเรียบร้อย แต่เจียงหวงกับซ่งว่านหลุนนั้นยังคงอยู่ในระหว่างการเดินทาง
ดังนั้นเมื่อผู้เข้าร่วมการคัดเลือกยังมาถึงกันไม่ครบ ทำเนียบราชันมนุษย์จึงจัดที่พักให้กับคนทั้งสองที่มาถึงก่อนให้แยกกันอยู่ห่าง ๆ เพื่อเป็นการป้องกันการกระทบกระทั่งกันระหว่างคนทั้งสองที่นับได้ว่าเป็นคู่แข่งกัน
หลังจากหลิงยี่เทียนเข้าไปถึงที่พักของเขา ฟู่เซียนก็รีบพาคนของเขาเข้ามาหาในทันที
แต่แล้วเมื่อฟู่เซียนเห็นว่าบรรดาผู้ที่มาสนับสนุนของหลิงยี่เทียนนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน เขาจึงวางใจขึ้นมากและพูดว่า “ฝ่าบาทยี่เทียน ข้าได้จัดแจงให้คนของข้าทั้งหมดเลือกที่จะสนับสนุนท่านแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงเวลาท่านไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรทั้งนั้น แต่ว่าข้ามีสิ่งหนึ่งที่อยากจะขอฝ่าบาท ฝ่าบาทพอจะอนุญาตให้ข้าได้ดูตราประทับหยกของท่านสักหน่อยจะได้ไหม?”
หลิงยี่เทียนยิ้มและพูดว่า “ผู้อาวุโสฟู่ ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้พ่อของข้าอยู่ที่นี่ใช่ไหม? ท่านพาข้าไปพบกับเขาสักหน่อยจะได้รึเปล่า?”
ฟู่เซียนส่ายหัว “ตอนนี้บิดาของฝ่าบาทอยู่ในท้องพระโรงหลัก ซึ่งมันคงไม่เหมาะเท่าไหร่ที่ฝ่าบาทจะเข้าไปที่นั่นในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทจะต้องเจอการต่อต้านจากทุกคนที่อยู่ที่นี่ แต่ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นกังวล เมื่อไหร่ที่การคัดเลือกเริ่มขึ้น ฝ่าบาทจะได้พบกับบิดาของฝ่าบาทแน่นอน”
“แต่ถ้าหากฝ่าบาทไม่ไว้ใจในตัวข้า ข้าสามารถบอกได้เลยว่าข้ารู้ว่าบิดาของฝ่าบาทแท้จริงแล้วเป็นใครและข้าเองก็รู้จักกับเขามานานมากแล้ว ข้าหมายถึงรู้จักกับเขามาตั้งแต่ที่เขายังไม่ได้เป็นแบบปัจจุบันนี้ แถมเขายังเล่าสถานะที่แท้จริงของฝ่าบาทให้ข้าฟังแล้วด้วย ดังนั้นฝ่าบาทสามารถวางใจในตัวข้าได้เลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงยี่เทียนจึงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ จากนั้นเขาพูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะให้ท่านดูหรอกนะ แต่ตอนนี้ตราประทับหยกไม่ได้อยู่กับข้า มันอยู่ที่พี่สี่ของข้า เพราะว่าเขาต้องใช้ปราณมังกรจักรพรรดิในการบ่มเพาะ ดังนั้นเขาจึงให้เขายืมมันไป”
ฟู่เซียนขมวดคิ้วทันที “ฝ่าบาทของสำคัญขนาดนั้นท่านมอบให้คนอื่นรักษาได้ยังไง?”
“คนอื่นที่ท่านพูดถึงคือพี่สี่ของข้า ซึ่งเป็นคนที่ข้าไว้ใจจนถึงขนาดที่ข้าสามารถฝากชีวิตได้!” หลิงยี่เทียนตอบกลับ
“แต่ว่าฝ่าบาท ถ้าหากว่าท่านไม่มีตราประทับหยกท่านจะปกครองอาณาจักรได้ยังไง?” ฟู่เซียนถามต่อ
“ผู้อาวุโสฟู่ ท่านคิดเหรอว่าแค่ตราประทับหยกอันเดียวมันจะมีผลอะไรมากมายกับการปกครองบ้านเมือง? ข้าขอพูดกับท่านตรง ๆ ต่อให้ตราประทับหยกจะไม่ได้อยู่ในมือพี่ชายของข้าแต่ไปอยู่ในมือของผู้อื่น คนผู้นั้นก็ไม่สามารถปกครองอาณาจักรของข้าได้อยู่ดี เพราะว่าคนที่มีสิทธิ์ปกครองอาณาจักรจันทรานั้นมีแค่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ปกครองมันได้!” หลิงยี่เทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
ฟู่เซียนยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “แต่ว่าฝ่าบาท หากไม่มีตราประทับหยกแล้วท่านจะว่าราชการยังไง? เมื่อไม่มีมันท่านจะสั่งคนของท่านแบบไหน?”
หลิงยี่เทียนยิ้ม “เอาเป็นว่าข้ามีวิธีของข้าก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่สามารถปกครองอาณาจักรของข้ามาได้จนถึงปัจจุบันนี้จริงไหม?”
ฟู่เซียนได้แต่ลอบถอนหายใจ ถ้าหากว่าเขาไม่เห็นแก่หลิงตู้ฉิง เขาคงไม่มีวันสนับสนุนหลิงยี่เทียนแน่นอน!
จากนั้นฟู่เซียนจึงเปลี่ยนประเด็น “ฝ่าบาท ข้าขอทูลถามสักหน่อยว่าทำไมตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของฝ่าบาทถึงยังอยู่แค่ระดับสวรรค์สามัญ? หากว่ากันตามหลักการแล้วผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่บ่มเพาะกันได้อย่างรวดเร็วแทบทั้งสิ้นนี่นา”
ในความคิดของฟู่เซียน ต่อให้หลิงยี่เทียนจะมีพรสวรรค์ที่ต่ำต้อยแค่ไหน แต่เขาก็ยังเป็นจักรพรรดิที่มีทรัพยากรมากมายให้ได้ใช้ ดังนั้นมันก็ไม่ควรที่ระดับการบ่มเพาะของเขาจะพัฒนาช้าแบบนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)