ในเวลานี้บนภูเขาไม่มีกลุ่มไหนกล้าต่อสู้กันเองต่ออีกแล้ว เพราะพวกเขาต่างหันมาระแวงกลุ่มของถังชี่หยุนเพียงอย่างเดียว
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกลุ่มของถังชี่หยุนได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน นั้นก็คือการสังหารปราชญ์ที่อยู่ในระหว่างการทดสอบ!
“ท่านพ่อ ท่านแม่ยายจะทำสำเร็จรึเปล่า?” หลิงยู่ชานถามขึ้น
ที่เขาถามเช่นนี้ก็เพราะเขาเห็นว่ากลุ่มของไป๋ชิงหัวนั้นนำไปไกลแล้ว
ความเร็วของไป๋ชิงหัวในตอนนี้ก็คือนางสื่อสารกับรูปปั้นสำเร็จไปแล้วถึง 8 รูปปั้น ซึ่งแตกต่างกับถังชี่หยุน ซึ่งในตอนนี้เพิ่งกำลังสื่อสารกับรูปปั้นรูปที่ 2
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “การไต่ขึ้นไปเร็วมันไม่ได้บ่งบอกว่าได้เปรียบเสมอไปหรอก การที่สื่อสารกับเจตจำนงมหาปราชญ์รุ่นก่อนจบได้อย่างรวดเร็วมันเกิดขึ้นได้จากสองกรณีก็คือ กรณีแรกปราชญ์ผู้เข้ารับการทดสอบอธิบายหลักการของตนเองจนเจตจำนงมหาปราชญ์รุ่นก่อนยอมรับ หรือกรณีที่สองก็คือปราชญ์ไม่สามารถอธิบายหลักการของตัวเองได้มากนักจนเจตจำนงมหาปราชญ์รุ่นก่อนรู้สึกไม่อยากจะสื่อสารด้วยต่อและปล่อยผ่านไป ซึ่งถ้าวัดจากความสามารถของไป๋ชิงหัวแล้วนางคงไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เจตจำนงมหาปราชญ์รุ่นก่อนรู้สึกยอมรับได้จริงไหม?”
เมื่อเหล่าศิษย์ของถังชี่หยุนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกเบาใจขึ้น แต่จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสอดส่องสายตามองหาปราชญ์คนอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของถังชี่หยุน ซึ่งคนแรกที่พวกเขาหยุดมองก็คือ จางจิงหง ที่กำลังสื่อสารกับรูปปั้นรูปแรกของเขามาเป็นเวลานานมากแล้ว และรูปปั้นก็แสดงสีหน้าพึงพอใจเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
หลิงตู้ฉิงพูดต่ออีกว่า “ต่อให้จะขึ้นไปถึงยอดเขาได้ก่อน แต่ถ้าหากว่าหลักการที่ตัวเองมีนั้นไม่ได้รับการยอมรับจากเจตจำนงมหาปราชญ์รุ่นก่อนเพียงพอ ปราชญ์ผู้ที่ทำการทดสอบก็จะไม่สามารถเดินขึ้นไปถึงแท่นบูชาที่อยู่บนจุดสูงสุดได้อยู่ดี”
“มีแต่ผู้ที่สามารถเดินขึ้นไปถึงแท่นบูชาเท่านั้นที่สามารถกลายเป็นมหาปราชญ์ได้ ส่วนปราชญ์คนอื่น ๆ ที่เข้ารับการทดสอบและทำไม่สำเร็จ พวกเขาจะไม่สามารถกลับมาทดสอบได้อีกครั้งตลอดชั่วชีวิตของพวกเขา”
คนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าเข้าใจมากขึ้นว่าการทดสอบเป็นมหาปราชญ์นั้นมีหลายอย่างที่ลึกซึ้งมากกว่าที่พวกเขาคิด
1 เดือนต่อมา ไป๋ชิงหัวสามารถขึ้นไปถึงยอดเขาก่อนได้เป็นคนแรก แต่สีหน้าของนางกลับไม่มีร่องรอยของความเบิกบานแม้แต่นิด สีหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและโดดเดี่ยว
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเมื่อนางขึ้นไปถึงยอดเขา นางพยายามที่จะก้าวขึ้นไปบนแท่นบูชา แต่แค่นางก้าวขึ้นไปเหยียบขั้นบันไดที่จะนำขึ้นไปสู่แท่นบูชาได้เพียงแค่ก้าวเดียว นางกลับถูกพลังลึกลับบางอย่างผลักออกมาในทันที ซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้มันพิสูจน์ว่าหลักการที่นางเข้าใจมานั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับการยอมรับจากแทบทุกรูปปั้นที่นางสื่อสารด้วย!
แต่ถึงแม้ว่านางจะหมดหวังจากการเป็นมหาปราชญ์ นางก็ยังคงไม่จากไปไหน นางนั่งรออยู่บนยอดเขาเพื่อรอดูว่าใครกันแน่ที่จะกลายเป็นมหาปราชญ์ของยุคนี้
จากนั้นไป๋ชิงหัวก็นั่งรอถึง 3 ปีกว่าที่จะมีปราชญ์คนอื่น ๆ เริ่มเดินขึ้นมาถึงยอดเขา ซึ่งปราชญ์เหล่านั้นที่ขึ้นมาถึงที่หลังก็ไม่ได้บุ่มบ่ามรีบก้าวขึ้นบันไดของแท่นบูชาเหมือนแบบนาง ไอรีนโนเวล
พวกเขาต่างนั่งทบทวนหลักการของตนเองและตรวจหาจุดบกพร่องของพวกมันอีกครั้ง และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือพวกเขาอยากที่จะรอให้ปราชญ์คนอื่น ๆ ขึ้นมาถึงจนครบก่อนจากนั้นเขาก้าวขึ้นไปบนแท่นบูชาพร้อม ๆ กัน
ในท้ายที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปอีก 2 ปี ถังชี่หยุนและจางจิงหงก็เดินขึ้นมาถึงยอดเขาแทบจะพร้อม ๆ กัน
บรรดาปราชญ์คนอื่น ๆ เมื่อเห็นเช่นนี้ต่างก็มองหน้ากันและรู้กันเองได้ในทันทีว่าตอนนี้มันถึงเวลาแห่งการตัดสินแล้วว่าใครจะได้เป็นมหาปราชญ์ของยุคนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)