“หามิได้พะยะค่ะ อันตรายนั้นมีไปทั่วทุกแห่งที่พระองค์ได้เดินทางไป พวกกระหม่อมไม่อยากละหลวมในเรื่องการทำหน้าที่คอยอารักขาพระองค์”
อาดิล ฮาดี รอซีด์ เป็นผู้เอ่ยค้านเจ้าเหนือหัวบ้าง การได้รับความไว้วางใจคัดเลือกฝึกฝนให้เป็นองครักษ์เอกคอยอารักขาเจ้าชายแห่งราชวงศ์อัลนูรีนถือว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดของบุรุษชาติอาหรับ และก่อนที่เขากับราชิตจะเดินทางมาที่เมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์พร้อมๆ กับเจ้าชายหนุ่ม เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ประมุขแห่งประเทศอัลนูรีนได้เรียกให้พวกตนไปเข้าเฝ้าและสั่งกำชับให้คอยดูแลอนุชาของพระองค์เป็นอย่างดี
“พวกเจ้าคงถูกท่านพี่ฮารีฟร์สั่งกำชับให้คอยดูแลเราไม่ให้คลาดสายตาใช่มั้ย”
น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยถึงเชษฐานั้นเต็มไปด้วยความจงรักภักดีที่น้องคนหนึ่งจะสามารถมอบให้กับผู้เป็นเชษฐาได้ทั้งชีวิต
“พะยะค่ะ เจ้าชายฮารีฟร์ทรงให้กระหม่อมกับอาดิลเข้าเฝ้าและสั่งเน้นย้ำให้พวกกระหม่อมดูแลพระองค์เป็นอย่างดีพะยะค่ะ”
ราชิตเอ่ยตอบตามความเป็นจริง เจ้าชายฮารีฟร์ผู้ที่เป็นเชษฐาทรงเป็นห่วงอนุชาที่อาศัยอยู่ต่างบ้านต่างถิ่นมากเป็นพิเศษ
“ท่านพี่ทำราวกับว่าเราเป็นเด็กชายซารีฟร์วัย 10 ขวบยังไงยังงั้น”
เจ้าชายองค์รองแห่งแผ่นผืนทะเลทรายเอ่ยแซวเชษฐาผู้อยู่ห่างไกลคนละถิ่นแดนด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มรู้ว่าเชษฐาผู้เสียสละนั้นทรงเป็นห่วงตนมากเพียงใด
“เจ้าชายฮารีฟร์ทรงเป็นห่วงความปลอดภัยของพระองค์มาก ด้วยเกรงว่าเอ่อ...เจ้าชายชารีฟร์จะส่งมือสังหารมาลอบทำร้ายพระองค์”
อาดิลอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนักด้วยรู้ว่าคำพูดของตนนั้นได้ซึมซับเข้าไปสะกิดบาดแผลของเจ้าเหนือหัวให้เจ็บปวดกับศึกสายเลือดที่อนุชาคือเจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ อนุชาต่างพระมารดาที่คอยเวลาสำหรับการช่วงชิงราชบัลลังก์อัลนูรีนกลับมาเป็นของตน
“บอกตามตรงน่ะราชิต อาดิล เราไม่อยากเชื่อว่าชารีฟร์อนุชาที่อ่อนโยนของเราจะมีจิตใจโหดเหี้ยมฆ่าได้แม้กระทั่งพี่น้องคนในชาติเดียวกัน”
ซุ่มเสียงที่เอื้อนวาจาเอ่ยบอกกับเหล่าองครักษ์เต็มไปด้วยความเสียใจผิดหวังที่อนุชาองค์เล็กไม่คิดเพียงพอ ต้องการเป็นประมุขแห่งแผ่นผืนทะเลทรายแทนเชษฐาฮารีฟร์
เจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ เป็นโอรสของท่านมานีนา ซึ่งเป็นภรรยาคนที่ 2 ของเจ้าชายอะลี อัล ริฟาอีลส์ประมุของค์ก่อนของอัลนูรีนหลังจาสละราชบัลลังก์แล้วเจ้าชายอะลีได้สถาปนาให้เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ โอรสองค์โตได้ขึ้นครองราชบัลลังก์แทน ถึงแม้เจ้าชายชารีฟร์จะเป็นโอรสที่ไม่ได้เกิดจากราชินีซึ่งเป็นหญิงงามชาวสยายแต่เจ้าชายอะลีก็รักและสถาปนาโอรสองค์เล็กให้มียศฐาบรรดาศักดิ์ที่เทียบเท่ากับโอรสอีกสองพระองค์ทุกประการ เจ้าชายชารีฟร์ได้พำนักอยู่ที่พระราชวังในเมืองหลวงจนกระทั่ง 10 ขวบ ท่านมานีนาจึงได้พากับไปที่เผ่าคาลีส์ซึ่งอยู่ชายแดนประเทศอัลนูรีน หลังจากท่านมานีนาได้พาโอรสกับไปที่เผ่าแล้วทั้งเขาและท่านพี่ฮารีฟร์ก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากอนุชาองค์เล็กเลย พอมารู้ข่าวอีกทีก็ทำเอาแทบช็อกเมื่อรู้ว่าเจ้าชายชารีฟร์อนุชาองค์เล็กที่คอยเดินตามติดเชษฐาทั้งสองแจได้คิดการใหญ่คิดช่วงชิงราชบัลลังก์อัลนูรีน
องครักษ์ราชิตหันไปมองหน้าอาดิลเพื่อนรักก่อนจะรายงานเจ้าเหนือหัวตามที่ได้รับข้อมูลมาจากเหล่าองครักษ์ในอัลนูรีน การมาพำนักคอยให้การอารักขาเจ้าชายซารีฟร์ยังดินแดนที่ห่างไกลจากประเทศของตนเองหลายแสนไมล์คนละซีกโลกแต่ก็ไม่มีขาดเว้นเรื่องการรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารในเหล่าองครักษ์ด้วยกัน
“แต่ก็เป็นไปแล้วมิใช่หรือพะยะค่ะ กระหม่อมรับทราบมาจากหน่วยข่าวกรองว่าเจ้าชายชารีฟร์ได้แอบตั้งกองกำลังทหารที่เข้มแข็งอยู่ที่เผ่าคาลีส์ซึ่งทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนอย่างดีเตรียมพร้อมเข้าประชิดเมืองหลวงตลอดเวลาทันทีที่ได้รับคำสั่งจากเจ้าชายชารีฟร์”
เจ้าชายซารีฟร์เผยแววเศร้าให้เห็นทั่วทั้งใบหน้าคมเข้มและนัยน์ตาคมกริบภายใต้ขนตายาวงอนใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของอนุชาชารีฟร์เขาได้รับรู้รับทราบจากอานีสต์และวาอีน์องครักษ์เอกของท่านพี่ฮารีฟร์ที่ได้แจ้งข่าวให้ทราบตลอดและเขาเองก็ได้โทรศัพท์ติดต่อพูดคุยกับเชษฐาแทบทุกวันเช่นเดียวกัน
“เราได้รับข่าวเรื่องนี้จากท่านพี่ฮารีฟร์แล้ว เมื่อไหร่ที่เราพร้อมท่านพี่กับเราจะเดินทางไปยังเผ่าคาลีส์ ไปพบกับชารีฟร์เพื่อเจรจายุติปัญหาการแย่งชิงการเข่นฆ่ากันเองของพี่น้องและคนในชาติเดียวกัน”
“จะดีหรือพะยะค่ะ การเดินทางไปเผ่าคาลีส์กระหม่อมคิดว่าเสี่ยงเกินไป แล้วเจ้าชายชารีฟร์จะยอมเจรจาด้วยหรือพะยะค่ะ”
อาดิลร้องถามด้วยความตกใจกับความคิดของเจ้าเหนือหัวทั้งสองทั้งของเจ้าชายฮารีฟร์ผู้เป็นประมุขแห่งอัลนูรีนและเจ้าชายซารีฟร์อนุชาองค์รอง การเดินทางไปยังถิ่นศัตรูที่โหดเหี้ยมไร้ความเมตตาปราณีต่อมวลมนุษย์ด้วยกันไม่ละเว้นแม้กระทั่งสายเลือดเดียวกันก็เท่ากับว่าเป็นการเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย
“กระหม่อมเห็นด้วยกับความคิดของอาดิล เสี่ยงเกินไปที่พระองค์ทั้งสองจะเดินทางไปยังเผ่าคาลีส์”
ราชิตสนับสนุนความคิดของเพื่อนรักพร้อมกันนั้นก็ได้เอ่ยคัดค้านไม่ต้องการให้เจ้าเหนือหัวไม่ว่าพระองค์ไหนได้เดินทางไปยังมาตุภูมิแห่งมัจจุราชร้าย ทหาร...ที่ถูกฝึกฝนตั้งเป็นกองกำลังเฉพาะย่อมได้รับการฝึกฝนที่เรียกว่าชำนาญเรื่องการใช้อาวุธทุกรูปแบบนอกจากนั้นยังถูกล้างสมองให้เป็นทหารที่ไร้จิตใจฆ่าผู้คนได้ราวกับผักปลาที่ไม่สามารถร้องขอชีวิตได้หรือถึงแม้จะอ้อนวอนร้องขอชีวิต ทหารหน่วยพิเศษเหล่านี้ก็ไม่สนใจ เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องทำตามหน้าที่ที่ได้ถูกฝึกถูกป้อนเข้าไปในหัวสมองคือการฆ่าเท่านั้น
เจ้าชายซารีฟร์ถอนหายใจยืดยาวรับรู้ว่าสิ่งที่เหล่าองครักษ์ต่างได้เอ่ยพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยนั้นเป็นเรื่องจริงทุกประการ
“เรากับท่านพี่รู้ดีว่าการเดินทางไปที่เผ่าคาลีส์นั้นอันตรายเพียงใด แต่ทำไงได้ ถ้าหากต้องการยุติปัญหาเรื่องการเข่นฆ่าผู้คนการทำร้ายพี่น้องกันเองเรากับท่านพี่ก็ต้องเสี่ยงเอาจะปล่อยให้ปัญหาปมนี้หมักหมมต่อไปเรื่อยๆ จนตกถึงรุ่นลูกรุ่นหลานก็คงไม่ดีแน่ ถึงตอนนั้นปัญหายิ่งจะบานปลายมากกว่าเดิม เราอยากให้ลูกหลานที่จะก่อเกิดขึ้นมาได้รักใคร่กลมเกลียวปรองดองกันช่วยกันเป็นต่างมือต่างเท้าบริหารอัลนูรีนให้เจริญรุ่งเรืองราษฎรอยู่ดีกินดีทุกครัวเรือนเหมือนดังบ้านเมืองที่เรามาพำนักอาศัยอยู่”
“กระหม่อมทั้งสองซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระองค์กับเจ้าชายฮารีฟร์ยิ่งนัก ยอมสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อปวงผองมวลชนชาวอัลนูรีน”
ราชิตเอ่ยชมเจ้าเหนือหัวอย่างซาบซึ้งรู้ดีว่าเจ้าชายฮารีฟร์และเจ้าชายซารีฟร์นั้นได้เสียสละเพื่อราษฎรมากเพียงใด ตลอดทั้งวันตลอดทั้งคืนตลอดทั้งชีวิตลมหายใจของเจ้าชายทั้งสองพระองค์มีแต่คำว่าราษฎรอัลนูรีน ทรงขบคิดพัฒนาตลอดเวลาเพื่อให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองแทบเท่ากับเมืองที่ศิวิไลซ์แล้วแต่ถึงกระนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งอารยธรรมของอัลนูรีน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย