ราชิตกับอาดิลเฝ้ามองเตรียมพร้อมคอยให้ความช่วยเหลือดอกไม้งามแห่งสยามอยู่ทุกเมื่อพอหญิงสาวเดินหนีไปพร้อมกับหยาดน้ำตาองครักษ์ทั้งสองก็ผุดลุกขึ้นเดินตามไปแทบทันทีเช่นเดียวกัน
“พวกเจ้าจะไปไหน”
เจ้าชายซารีฟร์ตะโกนเรียกองครักษ์แล้วก็ต้องหน้าชาเล็กน้อยเมื่อราชิตได้หันมาเอ่ยต่อว่าการกระทำของตนเองผ่านดวงตาคมดำสนิท
“จะมากเกินไปแล้วน่ะราชิต”
เจ้าชายซารีฟร์ตวาดเสียงห้วนด้วยภาษาอาหรับจากนั้นก็สืบเท้าเข้าหาองครักษ์เอกช้าๆ ด้วยท่าทางคุคามโกรธเคืองที่องครักษ์ผู้นี้บังอาจตำหนิติเตียนการกระทำของตน
“พระองค์ทำเช่นนี้ได้อย่างไร ทำไมพระองค์ไม่คิดถึงจิตใจของคุณน้ำหนาวบ้าง พระองค์จะแกล้งทำให้คุณน้ำหนาวเจ็บปวดเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมา”
เจ้าชายนักรักแห่งทะเลทรายถึงกับนิ่งขึงจุกแน่นกับถ้อยคำต่อว่าขององครักษ์เอกที่อาจหาญตำหนิติเตียนเจ้าเหนือหัวเป็นครั้งแรกในชีวิต อย่าว่าแต่ราชิตจะงุนงงกับศึกสงครามในวันนี้ตัวเขาเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าตนเองทำไปเพื่ออะไร ใช่ว่าจะพิสมัยในการทำให้หญิงอันเป็นที่รักต้องเจ็บปวด คราวใดที่นาราภัทรเจ็บช้ำเขาก็ยิ่งรวดร้าวมากกว่าเธอหลายสิบเท่า
“เราคงเป็นซาตานกลับชาติมาเกิดเหมือนที่น้ำหนาวต่อว่านั่นแหละ”
น้ำเสียงที่พึมพำโทษตัวเองอย่างอ่อนล้าสำนึกผิดทำเอาองครักษ์ราชิตรู้สึกตัวรีบทรุดลงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเจ้าเหนือหัว
“พระองค์ กระหม่อมขอประทานอภัยที่บังอาจต่อว่าพระองค์เมื่อสักครู่”
“ไม่เป็นไรราชิต เจ้าลุกขึ้นเถอะ”
มือใหญ่แตะลงไปเบาๆ บนศีรษะขององครักษ์เป็นการบอกให้ราชิตทราบว่าเจ้าเหนือหัวไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองต่อการกระทำของตนเองแล้ว
“พระองค์พะยะค่ะ คุณน้ำหนาวหนีกลับไปแล้วพะยะค่ะ”
องครักษ์อาดิลเอ่ยบอกเจ้าเหนือหัวด้วยน้ำเสียงร้อนรนเมื่อตามพระชายาของเจ้าชายหนุ่มเข้าไปด้านหลังร้านแล้วได้รับคำตอบจากแซมว่านาราภัทรขอลาป่วยและกลับบ้านไปเรียบร้อยแล้ว
“บ้าชะมัด! จะกลับทำไมไม่บอกเราสักคำ”
เจ้าชายซารีฟร์สบถลั่นก้าวเท้ายาวๆ ตรงไปที่ประตูร้านโดยไม่สนใจนางแบบสาวที่ยังคงนั่งชื่นชมกับแหวนเพชรวงงามราคาแพง
“เจ้าชายพะยะค่ะ” แซมเดินเป็นวิ่งขณะตะโกนเรียกเจ้าชายหนุ่มไว้ก่อนที่เรือนกายกำยำใหญ่โตจะเดินออกไปจากร้านของตน
“นาราภัทรลืมเสื้อโค้ทพะยะค่ะ”
ด้วยพอที่จะเดาสถานการณ์ระหว่างเจ้าชายรูปงามผู้เลื่องชื่อกับลูกจ้างสาวชาวไทยได้ว่าอะไรเป็นอะไรแซมจึงฝากเสื้อโค้ทตัวยาวไปกับเจ้าชายซารีฟร์
เจ้าชายซารีฟร์รับเสื้อโค้ทมาถือไว้ด้วยกริยาทะนุถนอม ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเป็นห่วงแก้วตาดวงใจที่ออกไปเผชิญกับอากาศหนาวเย็นโดยปราศจากเครื่องกันหนาว
“อาดิลจัดการเรื่องค่าอาหารแล้วก็เรียกแท็กซี่ให้ลอเรนด้วย”
“พะยะค่ะพระองค์”
องครักษ์อาดิลรับคำสั่งแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะที่ลอเรนนั่งอยู่พอนางแบบสาวรู้สึกตัวว่ากำลังจะถูกทิ้งก็รีบลุกขึ้นทำท่าจะวิ่งตามเจ้าชายซารีฟร์แต่ก็ถูกมือใหญ่หนาหนักขององครักษ์อาดิลจับยึดไว้แน่นจากนั้นก็ออกคำสั่งแกมบังคับข่มขู่เล็กน้อยจนลอเรนต้องทรุดตัวลงนั่งที่เดิมด้วยความหวาดกลัว
“ไปที่อพาร์ทเม้นท์ของน้ำหนาวก่อน” เจ้าชายออกคำสั่งเมื่อองครักษ์ทั้งสองขึ้นมาบนรถหรูคันใหญ่เรียบร้อยแล้ว
“พระองค์คิดว่าคุณน้ำหนาวจะกลับไปที่อพาร์ทเม้นท์หรือเปล่าพะยะค่ะ”
อาดิลเอ่ยถามขณะขับเคลื่อนรถออกตัวอย่างรวดเร็วเอาให้ทันตามความต้องการของเจ้าเหนือหัว
“เราภาวนาให้เธอกลับไปที่นั่น แต่ถ้าหากไม่ใช่! เราจะตามหาจนกว่าจะพบน้ำหนาว”
เจ้าชายหนุ่มเอนศีรษะพิงพนักรถพร้อมกับหลับตานิ่งแล้วพึมพำเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาระคนสร้อยเศร้าจนอาดิลและราชิตซึ่งนั่งคู่กันอยู่ด้านหน้าต้องหันมามองสบตากันรับรู้ได้ว่าสงครามปิดฉากลงพร้อมกับความพ่ายแพ้ของผู้ที่ริเริ่มเล่นเกมส์แห่งความเจ็บปวด...
นาราภัทรโผเผลงจากรถแท็กซี่ราวกับนกปีกหักเท้าเล็กทั้งคู่ได้ลากนำพาเรือนกายที่มีแค่เพียงลมหายใจปราศจากซึ่งหัวใจทั้งสี่แห่งห้องให้เข้าไปในลิฟท์ภายในอพาร์ทเม้นท์ได้อย่างยากลำบาก หญิงสาวเอนกายพิงผนังลิฟท์ที่เย็นเฉียบอย่างอ่อนล้าพร้อมกับสูดสะอื้นจนร้าวไปทั่วกายใจ เธอเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้นี่เองว่าการอยู่โดยปราศจากหัวใจนั้นมันเจ็บปวดคณานับมากเพียงใด มือบางที่ยังคงกำแบงค์ดอลลาร์ที่ได้รับทิปจากเจ้าชายซารีฟร์ได้ทุบลงไปหนักๆ กับผนังลิฟท์
“สมควรแล้วที่เธอจะได้รับความเจ็บปวดเช่นนี้ เธอเป็นใคร เขาเป็นใคร ทำไมไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวหักห้ามใจอย่าได้ไปหลงรักคนที่ไม่มีหัวใจอย่างเจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์”
หญิงสาวร้องครวญด้วยความชอกช้ำใจ รักแรกแทนที่จะสวยสดงดงามเหมือนคนอื่นๆ แต่กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม หัวใจดวงเล็กถูกเจ้าชายซารีฟร์ย่ำยีไม่เหลือชิ้นดีแต่ถึงกระนั้นหัวใจเจ้ากรรมก็ยังคงยอมตกเป็นทาสรักของเจ้าชายแห่งแผ่นผืนทะเลทราย
นาราภัทรดีใจที่ตนเองสามารถลากเรือนกายที่เต็มได้ด้วยบาดแผลเลือดซึมจิตใจที่บอบช้ำมาถึงหน้าห้องพักของตนเองได้ในที่สุดแต่พอควานหากุญแจห้องในกระเป๋าใบเล็กไม่เจอสักทีก็มีอันต้องตกใจหน้าซีดทรุดตัวลงนั่งแหมะกับพื้นทางเดินจากนั้นก็เททุกอย่างให้ร่วงลงมาจากกระเป๋า สิ่งของกระจุกกระจิกที่ใส่ไว้ในกระเป๋าร่วงลงมากองกับพื้นยกเว้นกุญแจดอกเล็กที่ไม่เห็นแม้แต่เงา
“บ้าที่สุด!” หญิงสาวทุบมือไปกับพื้นทางเดินนึกโทษตัวเองที่เป็นคนสะเพร่าเช่นนี้ “เราลืมเอากุญแจออกมาน้ำค้างก็ไปค้างที่บ้านเพื่อนด้วย”
มือเล็กหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาเปิดนับดูเงินที่อยู่น้อยนิดก่อนจะถอนหายใจยาว
“มีอยู่ 20 ดอลลาร์ ไม่พอค่าโรงแรมจิ้งหรีดด้วยซ้ำไป”
นาราภัทรพึมพำออกมาอย่างสิ้นหวังรวบของทุกอย่างใส่ไว้ในกระเป๋าเหมือนเดิมยกเว้นสิ่งเดียวที่เธอไม่ยอมหยิบใส่เข้าไปในกระเป๋าใบเล็กจากนั้นก็ลุกขึ้นช้าๆ เดินกอดอกตัวเองด้วยความหนาวเหน็บกลับเข้าไปในลิฟท์อีกครั้ง
สายลมเย็นยะเยือกละอองหิมะที่โปรยปรายลงมาปะทะใบหน้าเรือนกายทำเอานาราภัทรต้องกอดอกห่อตัวด้วยความเหน็บหนาว หญิงสาวเดินออกจากอพาร์ทเม้นท์ไปตามทางเดินเรื่อยๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุดที่บรรจบว่าจะหยุดอยู่ที่ไหน ใบหน้างามเงยขึ้นมองละอองหิมะเม็ดเล็กที่ยังคงพร่างพรูลงมาจากฟากฟ้า มือบางยกขึ้นปัดหิมะที่ตกลงมาปะทะกับใบหน้าแต่ปัดออกไปแค่ครั้งเดียวก็ปล่อยให้ละอองหิมะเกาะกุมใบหน้าเส้นผมของตนเองเหมือนเดิม หิมะเม็ดเล็กๆ เหล่านี้ไม่ได้ทำให้เรือนกายจิตใจของเธอเจ็บปวดทำกับการกระทำความใจร้ายของเจ้าชายจอมเผด็จการ
เจ้าชายซารีฟร์เดินเป็นวิ่งเข้ามาในอพาร์ทเม้นท์ที่นาราภัทรพักอาศัยอยู่แต่เมื่อถูกรปภ.เดินเข้ามาขวางไว้ไม่ยอมให้เข้าไปในลิฟท์ง่ายๆ จึงจำเป็นต้องพยักหน้าส่งสัญญาณให้องครักษ์ส่งใบเบิกทางให้กับรปภ. เมื่อทางเข้าลิฟท์สะดวกปราศจากอุปสรรคขวางทางเจ้าชายหนุ่มก็รีบผลุบเข้าไปในลิฟท์อย่างรวดเร็ว
ประตูห้องพักที่ถูกปิดล็อกกุญแจจากด้านนอกทำให้เจ้าชายซารีฟร์และเหล่าองครักษ์รู้ว่านาราภัทรยังได้กลับมาที่ห้อง เจ้าชายซารีฟร์ก้มลงมองที่เท้าของตนเองเมื่อรู้สึกว่ากำลังเหยียบอะไรอยู่ เขาก้มลงหยิบดอลลาร์ที่ถูกขย้ำจนยับยู่ยี่มาถือไว้ในมือจำได้ทันทีว่าเป็นทิปที่ตนเองจงใจมอบให้กับน้ำหนาวก่อนหน้านี้
“คุณน้ำหนาวคงกลับเข้ามาที่ห้องรอบหนึ่งแล้ว” ราชิตเอ่ยวิเคราะห์คาดเดาความเป็นไปจากที่ได้เห็นแบงค์ดอลลาร์ในมือเจ้าชาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย