พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 4

‘อ้อ...ชื่อน้ำหนาว ชื่อน่ารักแฮะ’

เจ้าชายซารีฟร์อมยิ้มนึกชมหญิงสาวที่เริ่มชอบขึ้นมาตะหงิดๆ อยู่ในใจ ไม่แสดงตนว่าเข้าใจภาษาไทยที่หญิงงามทั้งสองเอ่ยสนทนากันอย่างแจ่มแจ้ง

“เขาชื่อเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ น้ำหนาวเรียกเจ้าชายให้ดีๆ หน่อยสิ แล้วก็เบาเสียงลงด้วยเผื่อว่าผู้ชายคนนั้นจะฟังภาษาไทยออก”

น้ำค้างเอ่ยเรียกชื่อเจ้าชายที่ตนเองรู้สึกว่ามีพระคุณเรื่องการรักษาพ่อให้ถูกต้องอย่างเต็มยศพร้อมกับตีลงไปบนต้นแขนขาวเนียนของแฝดผู้พี่และเอ็ดออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่

เจ้าชายซารีฟร์ถึงกับหูผึ่งดีดตัวนั่งตัวตรงเมื่อหญิงสาวงดงามอ่อนหวานที่ชื่อน้ำค้างได้เอ่ยชื่อเชษฐาของตนออกมา และไม่เกินนาทีเจ้าชายผู้หล่อเหลาบาดใจสาวก็มีอันต้องหน้าม้านตีหน้าตึงขำไม่ออกเมื่อถูกน้ำหนาวต่อว่าเอาแบบซึ่งๆ หน้า

“เหอะ!...ฟังไม่ออกหรอก หน้าตาออกจะอาหรับซะปานนั้นฟังภาษาไทยออกก็อัจฉริยะแล้ว”

น้ำหนาวหันไปแยกเขี้ยวเอ่ยแขวะบุรุษรูปงามที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยแต่กลับโดนแบบเต็มๆ จากนั้นก็หันกลับมาตักข้าวกินหน้าตาเฉย

“รู้ได้ไงว่าเขาเป็นอาหรับ เขาอาจจะเป็นคนยุโรปก็ได้” น้ำค้างเอ่ยวิเคราะห์เบาๆ น้ำเสียงติดจะเกรงใจบุรุษหนุ่มที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาในขณะนี้

“น้ำค้างดูสิ ปากนิด จมูกหน่อย ผิวเข้มคมขำ ท่าทางสูงชะลูดราวกับต้นตาลถ้าไม่ใช่คนอาหรับก็ไม่รู้จะให้เป็นสัญชาติไหนแล้ว”

น้ำหนาวเอ่ยวิจารณ์วิเคราะห์แบบไม่ต้องเกรงใจใครขณะที่เอ่ยต่อว่าก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเลยว่าบุรุษหนุ่มรูปงามหน้าตึงแดงก่ำด้วยความโมโหระคนขบขำ

เจ้าชายซารีฟร์ถึงกับสำลัก แม่สาวน้อยแสนสวยแก่นแก้ววิจารณ์ได้แรงๆ จริง หญิงสาวพูดเสียเห็นภาพจนเขากลายเป็นตุ๊กตาเบบี้ก็ไม่ปาน

“เฮ้อ!...ช่างเถอะอย่าพูดถึงคนอื่นเลย”

น้ำค้างโบกมือปัดแล้วเอ่ยถามพี่สาวด้วยความกังวล ตอนนี้เธอกับแฝดผู้พี่ควรมุ่งความสนใจมาที่เรื่องภายในครอบครัวเสียมากกว่า

“หลังจากนี้เอาไงต่อดี น้ำค้างจะทำงานเสริฟในร้านอาหารไทยเพิ่มอีกสัก 4 ชั่วโมงจะได้มีเงินเก็บไปไถ่บ้านไถ่โรงแรมของเราคืน”

“ไหวหรือน้ำค้าง เราว่าตัวทำแค่ 3 ชั่วโมงก็พอแล้วงานเด็กเสริฟเหนื่อยจะตายไป ไหนต้องเดินเสริฟเกือบทั้งวัน พอว่างหน่อยเจ้าของร้านก็เอาเปรียบให้ตัวไปล้างจานในครัวอีก”

น้ำหนาวเอ่ยค้านน้องสาวด้วยรู้ว่าทำงานเป็นเด็กเสริฟในร้านอาหารไทยที่มีเจ้าของหน้าเลือดเอารัดเอาเปรียบลูกน้องนั้นหนักหนาสาหัสเอาการเพราะเธอเองก็เคยทำมาแล้วแต่ทนไม่ไหวจนต้องเปลี่ยนงานอื่นที่สบายและเบากว่า

“ไหวสิน้ำหนาว เราทำได้อยู่แล้ว แล้วตัวจะเอาไงจะทำงานที่ผับของไอ้พอลจอมแต๊ะอั๋งเหมือนเดิมหรือ”

“ฮื้อ!...คงทำที่นั่นเหมือนเดิม”

น้ำหนาวเอ่ยตอบแฝดน้องอย่างเหนื่อยหน่ายรู้ว่า ‘พอล’ เจ้าของผับเป็นจำพวกปากว่ามือถึงแต่เธอก็จำเป็นที่ต้องทำงานที่นั่น เพราะทั้งค่าแรงและทิปที่ได้รับในแต่ละคืนก็มากโขเอาการเหมือนกัน

“จะดีหรือน้ำหนาว อีตาพอลและก็ลูกค้านักเมาทั้งหลายมือเร็วจะตายไปโดยเฉพาะอีตาพอลตัวดี เราเห็นมันเข้าใกล้น้ำหนาวทีไรชอบทำเป็นเอื้อมมือมารับแก้วเหล้าแล้วก็แอบจับมือน้ำหนาวไปด้วย”

น้ำค้างค้านแฝดพี่ด้วยความไม่สบายใจ หญิงสาวเคยไปรอรับพี่สาวเลิกงานที่ผับและลอบสังเกตเห็นว่าพอลจอมเจ้าชู้เจ้าของผับมักจะแอบจับนิดแตะหน่อยเท่าที่พอจะทำได้

น้ำหนาวกลืนข้าวคำสุดท้ายลงคอตามด้วยน้ำเปล่าอึกใหญ่กลั้วคอแล้วรวบช้อนไว้อย่างเรียบร้อยจึงได้เอ่ยตอบน้องสาวอย่างไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว

“น้ำค้างอย่าห่วงเลย เราหาทางหลบเลี่ยงได้ อีกอย่างเราเป็นบาร์เทนดี้คอยชงเหล้าให้ลูกค้าต้องหลบอยู่หลังเคาร์เตอร์ตลอดเวลายังไงอีตาพอลมันก็จับได้แค่มือแหละ น้ำค้างไหวน่ะถ้าหากต้องทำงานหนักขึ้นอีกนิด”

นาราภัทรยิ้มหวานสดใสให้น้องสาวโดยไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มหวานพิมพ์ใจรอยยิ้มแรกตั้งแต่เข้ามานั่งในร้านอาหารได้ทำให้อีกหนึ่งบุรุษชาติชาวอาหรับผู้หล่อเหลาถึงกับตะลึงงันนิ่งขึงตัวชาไปชั่วขณะ

น้ำค้างยิ้มหวานให้กำลังใจพี่สาวบ้างแล้วเอ่ยตอบแฝดพี่ด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับให้ร่าเริงแจ่มใสเท่าที่จะทำได้

“เราช่วยกันทำงานน่ะน้ำหนาว เงินที่ได้ทุกบาททุกสตางค์เราก็ส่งไปให้พี่น้ำเหนือไถ่บ้านพี่น้ำเหนือจะได้ไม่ต้องทนอยู่กับเจ้าชายฮารีฟร์”

ทุกประโยคสนทนาปรึกษาหารือของสองสาวแสนสวยทำให้เจ้าชายซารีฟร์สนใจยิ่งนัก และยิ่งมีเชษฐาผู้หล่อเหลาเจ้าแห่งอัลนูรีนมาเกี่ยวข้องด้วยทำให้เจ้าชายหนุ่มสนใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมและเมื่ออดรนทนไม่ไหวอยากรู้ว่าเชษฐาของตนได้ซื้อบ้านของหญิงสาวทั้งสองเมื่อไหร่ หญิงสาวที่ชื่อน้ำเหนือคือใคร และเพราะเหตุใดหญิงงามชาวสยามทั้งสองต่างก็ตั้งใจทำงานหนักทั้งๆ ที่ยังเรียนอยู่ด้วยจึงได้หยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาเชษฐาฮารีฟร์ทันที

“สายัณห์สวัสดิ์ท่านพี่ของน้อง”

เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยทักทายในยามค่ำด้วยภาษาอาหรับกะเวลาคร่าวๆ ระหว่างบอสตันกับอัลนูรีนแล้วคิดว่าตอนนี้ที่บ้านเกิดเมืองนอนของตนคงอยู่ในช่วงพลบค่ำพอดี

“ว่าไงซารีฟร์น้องรัก” เจ้าชายฮารีฟร์ทักทายอนุชาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักเอ็นดู

“ท่านพี่ ก่อนอื่นกระหม่อมอยากรู้ว่าท่านพี่มีเอ่อ...คู่รักเป็นหญิงงามชาวไทยชื่อน้ำเหนือหรือเปล่าพะยะค่ะ”

ด้วยยังไม่รู้ฐานะของหญิงสาวที่ตนเชื่อมั่นว่าต้องงดงามไม่แพ้กับสองสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ห่างกันไม่กี่นิ้วสัมผัสถึงเจ้าชายซารีฟร์จึงต้องเอ่ยถึงผู้หญิงของเชษฐาในระดับกลางๆ ไม่ดูถูกและให้เกียรติมากไปกว่านี้จนกว่าจะได้รับรู้ฐานะที่แท้จริงของหญิงสาวที่ชื่อน้ำเหนือ

“อืมใช่...น้ำเหนือเป็นคนรักของพี่และถ้าหากจัดการปัญหาเผ่าคาลีส์ของชารีฟร์ได้โดยเร็วไว พี่ก็จะจัดงานอภิเษกให้น้ำเหนือเป็นราชินีแห่งอัลนูรีน”

เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยตอบอนุชาตามความตั้งใจของตนที่ได้คบคิดไว้ตั้งแต่แรกเห็นนีราพรรณและเมื่อเอ่ยตอบอนุชาไปแล้วเจ้าแห่งทะเลทรายก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าซารีฟร์รู้จักนีราพรรณได้อย่างไร

“ซารีฟร์รู้เรื่องของน้ำเหนือได้ไงหรือว่าเจ้าอานีสต์โทรไปบอก”

“เปล่าพะยะค่ะ อานีสต์ไม่ได้ส่งข่าว แต่กระหม่อมได้พบกับหญิงงามที่ชื่อน้ำหนาวกับน้ำค้างที่คิดว่ามีพี่สาวชื่อน้ำเหนือกำลังสนทนากันอย่างออกรสโดยมีท่านพี่ของกระหม่อมเป็นหัวข้อสนทนาหลักกระหม่อมก็เลยอยากโทรมาสอบ

ถามท่านพี่ให้แน่ใจ”

เจ้าชายซารีฟร์เบิกตากว้างแย้มยิ้มออกมาด้วยความดีใจและคาดไม่ถึงว่าท่านพี่ที่ตนแอบให้สมญานามว่าเจ้าแห่งทะเลทรายผู้ไร้รักได้พานพบกับหญิงงามที่มีจิตใจอ่อนโยนดุจดังพระมารดาและพร้อมที่จะอภิเษกกับหญิงงามชาวสยามทันทีที่เหตุการณ์ในบ้านเมืองสงบลง และตลอดเวลาที่ได้สนทนากับเชษฐาด้วยภาษาอาหรับ ดวงตาคมกริบภายใต้แว่นตาสีชาราคาแพงได้ทอดมองจับจ้องแน่นิ่งอยู่ที่ใบหน้างามลออของหญิงสาวที่ชื่อน้ำหนาว

“ซารีฟร์พบน้ำหนาวกับน้ำค้างที่ไหน”

เจ้าแห่งอัลนูรีนเอ่ยถามอนุชาด้วยความแปลกใจคาดไม่ถึงว่ากามเทพชะตาฟ้าจะเล่นงานเจ้าน้องชายตัวแสบได้รวดเร็วป่านนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย