อภิชาตลูกเขย นิยาย บท 1

“นายน้อยฟานครับ เรื่องมันก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว ไม่ว่าคุณจะคับแค้นใจเรื่องอะไรอยู่ก็ลืมๆไปซะเถอะครับ”

“กลับไปเถอะ”

“พ่อ ปู่ และพวกน้องชายของคุณกำลังรอคุณอยู่นะครับ”

“การแต่งงานของคุณส่งผลโดยตรงต่อเกียรติของตระกูล เมื่อคุณกลับเข้ามาเราก็จะเลือกผู้หญิงที่สวยและเยี่ยมยอดที่สุดมาเป็นภรรยาของคุณและลูกสะใภ้ของตระกูลชัชวาลผู้หญิงที่ชื่อพิมมาจากตระกูลทิพย์บดีนั่นไม่เหมาะกับคุณและตระกูลชัชวาลหรอกครับ”

ชายสูงอายุผู้ตาแดงก่ำยืนอยู่ข้างๆ คูเมืองแห่งเมืองหยุนโจว เขาสวมใส่เครื่องแต่งกายของจีนแบบดั้งเดิมกำลังพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมฟาน ยุคลผู้แต่งตัวธรรมดาและดูโทรมว่าคนอื่นๆที่ยืนอยู่ด้านหน้าของเขา

“ใช่ ผ่านไปแล้วสิบปี ถ้าเทียบเป็นสุนัขปานนี้มันก็คงแก่แย่แล้วละนะ แต่ถึงอย่างนั้นตระกูลที่นายพูดถึงก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะ” ฟานหัวเราะออกมาด้วยสายตาแดงก่ำเนื่องจากไม่เห็นด้วยกับคำพูดก่อนหน้า

“สิบปีที่แล้ว พ่อแม่ของฉันคุกเข่าตรงหน้าประตูของคฤหาสน์ตระกูลชัชวาล ตอนนั้นครอบครัวนี้บอกกับพ่อฉันว่าแม่ฉันเป็นแค่ไพร่ชั้นต่ำ ไม่คู่ควรกับตระกูลชัชวาลและไม่เหมาะสมที่จะเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลนี้ และฉันก็เป็นลูกของ ‘ไพร่’ แม่กับฉันโดนไล่ออกจากตระกูลอย่างกับหมูกับหมา เราต้องไปอยู่ข้างถนนจนฉันได้มาแต่งงานเข้าตระกูลทิพย์บดีและต้องทนอยู่กับความขายขี้หน้า”

“ตลอดสิบปีที่ผ่านมาพวกนายเคยสนใจอะไรแม่กับฉันด้วยเหรอไง พอมาตอนนี้จะให้ฉันลืมความแค้นนี้กับเรื่องที่แม่ฉันขายหน้าแล้วกลับไปสืบทอดตระกูลชัชวาลเพียงเพราะคำพูดแค่นี้เนี่ยนะ นายคิดว่าเป็นไปได้ไหมล่ะ”

“กลับไปบอกคนตระกูลนั้นซะ ว่านามสกุลฉันคือยุคล ไม่ใช่ชัชวาลแล้วก็ไปบอกพ่อที่ไม่ได้เรื่องของฉันด้วยนะ ว่าเขาไม่คู่ควรกับแม่ของฉันและไม่เหมาะสมที่จะเป็นพ่อของฉัน!”

ฟาน ยุคลเกลียดตระกูลที่เลือดเย็นนี้เข้าไส้

แต่คนที่เขาเกลียดยิ่งกว่าก็คือพ่อที่ปวกเปียกไร้ทางสู้ของเขา

ถ้าตอนนั้นพ่อเขามีความกล้าสักนิด เขากับแม่ก็คงไม่ต้องขายหน้าขนาดนี้

บ่อยครั้งที่ฟานปรารถนาให้พ่อปกป้องเขากับแม่ แต่พ่อของเขาก็เลือกที่จะถอยและอยู่ข้างครอบครัวตัวเอง

ถึงแม้ว่าตระกูลชัชวาลจะไล่สองแม่ลูกออกไป แต่คนที่เป็นพ่อก็ได้แต่มองดูอย่างเกรงกลัวต่อหน้าครอบครัวตัวเอง เขาไม่กล้าแม้แต่จะออกรับแทนหรือโต้แย้งอะไรกลับเลยด้วยซ้ำ ได้แต่มองดูภรรยาและลูกชายตัวเองต้องขายหน้า

เขาเกลียดพ่อของตัวเองจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ

“นายน้อยฟาน ได้โปรดคิดทบทวนอีกทีเถอะครับ”

“คุณต้องเข้าใจนะครับว่าสิ่งที่คุณกำลังปฏิเสธคืออะไร มันมีมูลค่าเท่ากับงบประมาณของประเทศและทำให้คุณมีอำนาจมากพอที่จะดูถูกคนอื่นได้เลยนะครับ หากคุณกลับไปคุณจะได้เป็นหัวหน้าตระกูลภายในสิบปี” ชายชรายังคงพยายามโน้มน้าวฟาน

แต่ฟานก็ได้หันหน้าหนีพร้อมหัวเราะ และถามว่า “แล้วไง”

“ถึงนายจะให้โลกทั้งใบกับฉัน ฉันก็จะคิดว่ามันต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่ดี!”

เขาพูดอย่างหนักแน่นและดังกังวานราวกับหินที่ตกกระทบกับพื้นอย่างแรง

ฟานเดินออกไปและปล่อยให้พวกคนที่ยืนอยู่พูดไม่ออกด้วยความ

ช็อก

ผ่านไปพักใหญ่ก็มีใครบางคนถอนหายใจอยู่ ๆข้างทะเลสาบ

ชายวัยกลางวันมองดูฟานอยู่ไกลๆ ความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณและความสำนึกผิดที่วนเวียนอยู่ในจิตใจของเขา

“ฟาน นายเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าพ่อของนายเสียอีก” เขาพูดด้วยรอยยิ้มแต่กลับน้ำตาคลอ

ฟานเดินไปตามถนนพร้อมตาแดงก่ำจากการร้องไห้

หลังจากที่ฟานทนขายหน้ามานานหลายปี เขาก็คิดว่าคงไม่มีอะไรมารบกวนเขาได้อีกแล้ว แต่ถึงอย่างไรการปรากฎตัวของพวกตระกูลชัชวาลนั้นย่อมมีผลต่อเขาซึ่งยังเป็นแค่ชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ

แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ฟานจึงเก็บข้าวของแล้วรีบไปบ้านของตระกูลทิพย์บดี

ตระกูลทิพย์บดีนั้นถือได้ว่าเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่หนึ่งในสามแห่งเมืองหยุนโจว แต่พวกเขาเพิ่งเริ่มมามีชื่อเสียงเมื่อสามปีที่แล้วเพราะเรื่องอื้อฉาวที่จู่ ๆ ลูกสาวแสนสวยของตระกูลอย่างพิมมา ทิพย์บดี มาแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องและปล่อยให้เขาเข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัว เรื่องนี้ทำให้คนทั้งเมืองช็อกมากและเห็นตระกูลทิพย์บดีเป็นตัวตลก

หลังจากที่ฟานแต่งงานมาได้ครึ่งปี เขาก็ได้รู้ความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้

ตอนนั้นครอบครัวของพิมมาได้ทำผิดร้ายแร้งและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตระกูลทิพย์บดีเป็นอย่างมาก หัวหน้าตระกูลจึงโกรธและลงโทษครอบครัวของพิมมาโดยบังคับให้เธอแต่งงานกับเศษสวะเพื่อเตือนสติสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ

และฟานที่เป็นหนึ่งในตัวละครหลักของเรื่องนี้ได้สูญสิ้นความนับถือทั้งในตัวหญิงและชายและได้กลายเป็นตัวตลกที่คนจะหยิบมาล้อเลียนระหว่างมื้ออาหาร

อยู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ของฟานก็ดังขึ้น คนที่โทรเข้ามาคือภรรยาของเขา พิมมานั่นเอง

“นายอยู่ไหน กลับมานี่เดี๋ยวนี้ เราไม่ได้มีเวลามารอนายทั้งวันนะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและวางอำนาจราวกับว่ากำลังออกคำสั่ง

เนื่องจากผ่านมาแล้วสามปีฟานเลยคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี หลังจากวางสายเขาก็รีบเดินทางไปยังบ้านของตระกูลทิพย์บดี

วันนี้เป็นวันฉลองงานหมั้นของลูกพี่ลูกน้องของพิมมา

หัวหน้าของตระกูลทิพย์บดีมีลูกชายทั้งหมดห้าคนและลูกสาวหนึ่งคน พ่อของพิมมาเป็นลูกชายคนที่สาม วันนี้ลูกสาวของลูกชายคนที่สี่กำลังจะหมั้น ฉะนั้นพิมมาจึงต้องมาร่วมงานพร้อมกับครอบครัวของเธอ

“พิมมา ขอโทษที พอดีฉันมีเรื่องต้องไปจัดการแล้วโดนรั้งตัวไว้น่ะ” เนื่องจากฟานพยายามรีบ เขาเลยมาถึงงานได้ทันเวลา

ในตอนนี้แขกเหรื่อมากมายมารวมตัวกันที่ทางเข้า หน้างานจึงเริ่มคึกครื้น แต่เขาก็สามารถแยกพิมมาออกจากฝูงชนได้อย่างง่ายดายเพราะเธอมีหน้าตาสะสวยและรูปร่างดี

“ธุระต้องไปจัดการงั้นเหรอ สวะอย่างนายมีธุระกับเขาด้วยเหรอไงเพราะนายมัวแต่ทำตัวยืดยาดทั้งวันทั้งคืน พิมมาของเราเลยต้องมาเสียเวลากับคนไม่ได้เรื่องอย่างนาย” เมื่อคุณผู้หญิงคนหนึ่งได้เห็นหน้าฟาน เธอจึงระงับความรังเกียจที่มีต่อเขาไม่ได้และด่าออกมา

ครอบครัวของพิมมามาถึงในงานแล้วเช่นกัน แม่ของพิมมาอย่างหงส์เดินเข้าไปแสดงความยินดีกับเธอพร้อมร้อยยิ้ม พิมมาและฟานล้วนทักทายป้าของพวกเขาด้วยความเคารพ

“อ้อ ถึงพวกเธอมาสายก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะพวกเธอมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว” รอยยิ้มของวรรณาหายวับไปทันทีที่เห็นครอบครัวของพิมมาและตอบกลับพวกเขาอย่างเย็นชา นอกจากนี้เธอยังเมินการทักทายของพิมมาและฟานอีกด้วย

“ใครให้เธอมามิทราบ”

“แล้วเธอยังเอาไอ้สวะนั้นมาที่นี่เนี่ยนะ จะเอามันมาให้เราขายหน้ารึไง”

ถึงแม้ว่าวรรณาจะมีท่าทีร้ายกาจแต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรออกนอกหน้า กลับกันหนิงหนิงนั้นยังเด็กและบุ่มบ่าม จึงไม่ค่อยสนใจสายตาของสังคม ความรังเกียจของเธอที่มีต่อฟานนั้นอยู่เหนือสิ่งอื่นใดและเพราะเธอไม่ได้ใส่ใจสายตาของแขกเหรื่อหรือผู้หลักผู้ใหญ่ เธอจึงโพล่งออกมาด้วยความโกรธ

ฟานนั้นคือความน่าละอายแห่งตระกูลทิพย์บดี เพราะลูกเขยที่ไม่ได้เรื่องอย่างเขาครอบครัวของพิมมาจึงโดนดูถูกเหยียดหยาม

“หนิงหนิง เงียบเดี๋ยวนี้ ดูรอบๆตัวลูกบ้าง” วรรณาดึงลูกสาวตัวเองออกมาและรับของขวัญจากครอบครัวพิมมามาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่แม้แต่จะนำพวกเขาไปที่โต๊ะด้วยซ้ำแล้วปล่อยให้ครอบครัวของพิมมาเดินเข้าไปหาที่นั่งในโถงจัดงานด้วยตนเอง

“คอยดูไอ้สวะนี้ด้วย อย่าปล่อยให้มันไปทำให้หนิงหนิงขายหน้าล่ะ”

วรรณาจากไปพร้อมกับคำเย้ยหยันอันหยาบคาย

“ครอบครัวนี้มีตั้ง 4 คน แต่มีเงินมาให้แค่นี้เนี่ยนะ พวกเขากำลังหลอกกินฟรีเราชัดๆ พวกน่าไม่อาย” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจจากหนิงหนิงดังตามหลังพวกเขามา สีหน้าของพิมมาซีดเผือดด้วยความโกรธส่วนหัวใจของหงส์ก็เต้นแรงอยู่ในอก แต่พวกเขาก็เมินคำสบประมาทนั้นและไม่หือไม่อืออะไร

อย่างไงในบรรดาครอบครัวของพี่น้องตระกูลทิพย์บดีทั้งหมด ครอบครัวของพวกเขาก็ตกต่ำที่สุดอยู่แล้ว ลูกเขยของเขาไม่ได้เรื่องเป็นที่สุด ไม่มีทั้งอำนาจและเงินที่จะมาหนุนหลัง พวกเขาจึงได้แต่ยอมรับโชคชะตาอย่างเงียบๆ

ทันใดนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นจากด้านนอก

รถเบนซ์ขับเข้ามาและผู้หญิงอายุน้อยคนหนึ่งก็ปรากฎตัวในชุดราตรียาวจูงมือเดินเข้ามากับคู่ชายของเธอ

เมื่อวรรณาและหนิงหนิงเห็นพวกเขาก็ยิ้มออกมาอย่างรื่นเริง สีหน้ารังเกียจก่อนหน้าล้วนหายวับไปหมดสิ้น สองแม่ลูกเดินไปที่ประตูหน้าเพื่อต้อนรับแขกของพวกเขา

“มิลิน น้องเขย มาถึงกันจนได้นะ พวกเรากำลังรอต้อนรับเธออยู่เลย” หนิงหนิงยิ้มทักทายอย่างประจบสอพลอ

“ทางนี้จ้ะ”

“โอ้ ทำไมซื้อของให้ฉันเยอะจังเลยล่ะ เธอจะมีพิธีรีตองเกินไปแล้วนะ”

“ใครก็ได้มาช่วยหลานเขยฉันถือของหน่อยสิ” วรรณาก็อยากจะเอาใจพวกเขาเช่นเดียวกัน

ถึงแม้ว่าพิมมาและครอบครัวจะเป็นญาติแท้ๆเหมือนกัน แต่พวกเขากลับโดนปฏิบัติต่างกันอย่างกับฟ้ากับเหว ความมอยุติธรรมนี้ราวกับมีดปักลงกลางหัวใจของพวกเขา

คนที่มาใหม่คือมิลิน ทิพย์บดี ลูกสาวของน้องชายคนที่ห้าของตระกูล ด้วยเพราะเธอหาสามีได้อย่างยอดเยี่ยม คนทั้งตระกูลทิพย์บดีจึงล้วนชอบประจบครอบครัวของเธอ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อภิชาตลูกเขย