อภิชาตลูกเขย นิยาย บท 2

ภานุ คือสามีของมิลิน จริงๆแล้วเขาก็เป็นแค่นักเรียนที่เรียนดีแต่ไม่ได้มีผลงานสร้างชื่ออะไรเลย

เขาอายุยังแค่ยี่สิบต้นๆ เองแล้วเขาจะประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรได้บ้างล่ะ อย่างไรก็ตามพ่อของภานุก็มีบริษัทที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่นับหน้าถือตาในเมืองหยุนโจว ก่อนหน้านี้ที่บริษัททิพย์บดีเจอปัญหาหลายๆครั้ง ก็เป็นพ่อของเขานี่แหละที่เข้ามาช่วยไว้ คนทั้งตระกูลเลยอยากจะประจบภานุ

“ฟาน นายจะเหม่อมองอะไรนักหนามิทราบ มาช่วยฉันยกของพวกนี้สิ นายตาบอดรึไง” หนิงหนิงหันไปตะโกนด่าฟานเพราะเธอไม่เคารพพี่เขยตัวเองแม้แต่นิดเดียว

ฟานไม่ได้ปริปากพูดอะไรเพียงแค่ยกของอย่างเงียบๆ หงส์และสามีของเธอมองไปที่เขาพร้อมทำหน้าตาบูดบึ้ง ฟานก็เป็นลูกเขยของตระกูลทิพย์บดีเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้กลับโดนสั่งโดยคนที่เด็กกว่า ทำให้พวกเขาขายหน้าเป็นที่สุด พวกเขาจึงก่นด่าฟานว่าไม่ได้เรื่องและหัวอ่อนอยู่ในใจ

ในทางกลับกัน พิมมา ทิพย์บดีได้แต่กัดริมฝีปากด้วยความโกรธ เธอรู้ดีว่าฟานทำอย่างนี้เพื่อปกป้องเกียรติเส้นสุดท้ายที่เธอมีอยู่แต่เขากลับโดนทำให้ขายหน้า แต่หากเขาต่อต้าน ทั้งครอบครัวเธอก็คงจะโดนทำให้ขายหน้าแทน

“ระวังๆล่ะ อย่าทำให้แตกเชียวนะ”

“นั้นเป็นขวดเหล้าเหมาไถ ราคามันตั้งหลายพัน ขืนทำแตกขึ้นมา คนอย่างนายคงไม่มีปัญญาชดใช้หรอก” ทั้งมิลินและสามีของเธอต่างดูถูกเขา ภานุจึงเริ่มสั่งพี่เขยของเขาเพราะกลัวว่าฟานจะทำของขวัญแตกเสียหาย

ในสังคมแห่งนี้ ลูกเขยที่ไม่มีทั้งเงินและอำนาจจะไม่ได้ความเคารพจากใครเลย

หลังจากที่ครอบครัวของมิลินมาถึง ญาติๆทั้งหลายต่างมาล้อมรอบพวกเขาเพื่อเอาอกเอาใจ ต่อจากนั้นวรรณาและหนิงหนิงก็เดินนำพวกเขาเข้าไปด้านในโถงจัดงาน

“มิลิน นั่งพักที่โซฟากับภานุแล้วก็พ่อแม่ของหนูเถอะจ๊ะ พอทุกคนมาถึงเราจะได้ไปที่โรงแรมกัน”

“ถ้าหนูต้องการอะไร บอกได้เลยนะจ๊ะ ไม่ต้องเกรงใจอะไรป้าเพราะยังไงเราก็ครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว” ทั้งวรรณาและมิลินต่างต้อนรับแขกเหรื่ออย่างอบอุ่น และวรรณาก็คอยกุมมือของภานุไว้ราวกับว่าเขาคือลูกเขยของเธอ

“เอ๊ะ”

“ไม่มีที่นั่งเหลือแล้วเหรอ”

พอพวกแขกเหรื่อมาถึงโถงจัดงาน พวกเขาก็พบว่าไม่มีที่นั่งหลงเหลืออยู่เลย

“ป้า หนิงหนิงครับ อย่าลำบากเลยครับ เดี๋ยวผมยืนอยู่แถวๆนี้กับมิลินเองครับ ยังไงเดี๋ยวเราก็ต้องไปโรงแรมอยู่แล้ว”

“ไม่ได้จ้ะ”

“พวกเธอเป็นแขกที่มีเกียรติของเรา เราจะปล่อยให้พวกเธอยืนได้ยังไง” วรรณาปฏิเสธข้อเสนอนี้ในทันที หลังจากที่มองไปทั่วห้องจัดงานแล้วเธอก็เห็นครอบครัวของพิมมา ในระหว่างนี้ฟานได้ยกของขวัญเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังจะกลับไปที่นั่งของเขา

“นี่ พิมมา ครอบครัวเธอนั่งมานานพอละ ทำไมไม่ให้คนอื่นนั่งหน่อยล่ะ มิลินกับภานุเพิ่งมาถึงเลยต้องการจะพักผ่อน” วรรณาจึงบอกกับพิมมาในทันที

ลูกสาวของเธออย่างหนิงหนิงก็ดึงฟานออกมาจากเก้าอี้โดยไม่บอกกล่าวสักคำ

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะเจ้าของงานได้บอกเจตนาไว้อย่างชัดเจนแล้ว พิมมาและครอบครัวจึงต้องยอมยกที่นั่งให้มิลินกับครอบครัวของเธอ

ครอบครัวของพิมมาจึงเป็นครอบครัวเดียวที่ยืนอยู่ในโถงขนาดใหญ่ของบ้านตระกูลทิพย์บดีในขณะที่คนอื่นๆต่างนั่งแล้วพูดคุยกัน

เนื่องจากหงส์และครอบครัวรู้สึกอับอายจึงไปรอด้านนอกแทน

“พวกเขาดูถูกเรา คนอื่นมีที่นั่งแล้วทำไมเราต้องโดนบังคับให้เสียสละที่นั่งด้วยล่ะ พวกเขาต้องการทำเราขายหน้าชัดๆ!” หงส์ทนกับความอับอายไม่ได้อีกต่อไปจึงโพล่งออกด้วยความโกรธ ส่วนพ่อของพิมมาก็ถอนหายใจอย่างเงียบๆ

ฟานโค้งศีรษะลงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“มันเป็นความผิดของนายคนเดียว นายมันก็แค่สวะที่ทำให้เราขายหน้า ดูสารรูปภานุแล้วดูสภาพของนายเองซะ!”

“ทำไมชีวิตฉันมันลำบากขนาดนี้นะ สามีไม่ได้เรื่องลูกเขยก็ยังเป็นแค่สวะอีก!” หงส์ระบายความคับแค้นใจของตนเองออกมาอีกครั้ง

“พอได้แล้ว! แม่คิดว่าเรายังขายหน้าไม่พอรึไง” สุดท้ายแล้วพิมมาก็ตะคอกออกมาเสียงดัง

“ใช่ ฟานไม่มีค่าก็จริง เขาเป็นแค่สวะ แต่ทำไมแม่ไม่ถามตัวเองบ้างล่ะ ถามพ่อหรือฉันก็ได้ เราเองก็ไร้ค่าไม่ใช่เหรอไง ถ้าในพวกเรามีคนมีความสามารถสักคน วันนี้พวกเขาจะมาทำให้เราขายหน้าได้ไหมล่ะ”

พิมมาโพล่งออกมาพร้อมกระแทกเสียงและระวังอย่างมากที่จะไม่สำลักคำพูดของตัวเอง เธอกัดฟันแน่นเพื่อกันตัวเองไม่ให้ร้องไห้ซึ่งฟานสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน หลังจากที่ทนทรมานจากความขายหน้ามาได้ตลอดสามปีท้ายที่สุดแล้วผู้หญิงที่ทะนงตนและพึ่งพาตัวเองได้คนนี้ก็สติแตกแล้วร้องไห้ออกมา

เมื่อพิมมาร้องไห้น้ำตาไหลออกมาอาบหน้าแก้ม เธอก็วิ่งออกจากโถงและบ้านของตระกูลทิพย์บดีไป

“ดูลูกสาวคุณสิ ไม่ใช่แค่แต่งงานกับสวะจนทำให้ครอบครัวเราขายหน้า แต่ตอนนี้เธอยังประสาทกลับมาตะโกนใส่พวกเราอีกเนี่ยนะ”

“เราจะอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้นะ…” หงส์ยังคงพร่ำบ่นอยู่ ส่วนฟานนั้นได้ออกจากบ้านไปเรียบร้อยแล้วระหว่างที่สองสามีภรรยาไม่รู้ตัว

หญิงสาวที่งดงามกำลังร้องไห้อยู่ข้างๆ คูเมืองจนน้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้าง ราวกับว่าเธอกำลังปลดปล่อยความเศร้าทั้งหมดที่เธอเผชิญมาตลอดสามปี

อยู่ ๆ ชายคนหนึ่งก็โผล่มาจากด้านข้างแล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอ

“พิมมา ฉันขอโทษนะที่เธอต้องมาทนทุกข์เพราะฉัน”

ฟานหยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อว่า “หย่ากันเถอะ ฉันไม่คู่ควรกับเธอเลย คนอย่างเธอเหมาะสมกับผู้ชายที่ดีกว่านี้นะ”

เพี้ยะ!

พิมมาตบหน้าฟานเสียงดังฟังชัด

เธอมองไปที่เขาแล้วตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ฟาน ทำไม ทำไมนายไม่ทำตัวให้มันแมนกว่านี้หน่อยล่ะ”

“พอเรื่องมันท่าจะแย่นายก็คิดที่จะหนีทันที สามปีที่ผ่านมานี้ฉันห้ามไม่ให้แตะต้องฉันนายก็ไม่แตะ พ่อแม่ฉันข่มเหงนาย นายก็ไม่ตอบโต้สักนิดเดียว ญาติฉันล้อเลียนนาย นายก็ยังอยู่นิ่งเงียบ ทำไมนายถึงไม่ได้เรื่องขนาดนี้ ทำไมนายไม่ทำตัวให้แมนกว่านี้แล้วสั่งสอนพวกเหลือขอที่มาทำให้เราขายหน้าบ้างล่ะ ทำไมนายถึงปกป้องฉันจากเรื่องพวกนี้ไม่ได้เลย”

“ฉันไม่อยากโดนดูถูก ฉันไม่อยากให้คนเห็นฉันเป็นตัวตลก ฉันอยากให้พวกคนที่ทำเราขายหน้าเสียดายที่มาทำกับเราอย่างงั้น…”

“ฮือ ฮือ ฮือ~”

พิมมาร้องไห้ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ฟานเคยนิยามภรรยาตัวเองว่า เย็นชา เข้มแข็ง เป็นอิสระ และดื้อด้าน แต่ตอนนี้ผู้หญิงที่ก่อนหน้านี้เข้มแข็งและไม่ต้องพึ่งใครอย่างเธอกลับมาร้องไห้คร่ำครวญราวกับเด็กน้อย

“ฟาน ฉันไม่อยากใช้ชีวิตเศร้าๆแบบนี้อีกต่อไปแล้วจริงๆ จริงๆนะ…”

พิมมาร้องไห้ระงม เธอดูอ่อนแอและไร้ที่พึ่งราวกับเด็กน้อยไม่มีผิด

ฟานมองดูด้วยความประหลาดใจ

พวกเขารู้จักกันมาหลายปีมากๆแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พิมมาพูดเรื่องแบบนี้

ตอนที่ 2 ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอทนขายหน้าอีก 1

ตอนที่ 2 ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอทนขายหน้าอีก 2

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อภิชาตลูกเขย