ถึงแม้ตอนอยู่ที่เหมยซาน จะได้ยินมาว่าขาทั้งสองข้างของท่านพี่เจ็ดต้องพิการในระหว่างทำสงคราม และมีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า จะน่ากลัวขนาดนี้
จ้านชิงอิงหันมองจ้านเป่ยเซียว จากนั้นจึงจับแขนของตนเอง และอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นอย่างไม่เป็นตัวของตัวเองนัก : “คือว่า ท่านพี่เจ็ด ท่านอย่าใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับข้าจะได้ไหม น่ากลัวจริง ๆ”
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่า จะประหารใครเก้าชั่วโคตรนะ ?” จ้านเป่ยเซียวหันมองเขาด้วยแววตาลึกซึ้ง
จ้านชิงอิงแสดงสีหน้าว่าได้รับบาดเจ็บ : “เดี๋ยวสิท่านพี่เก้า เมื่อครู่ข้าถูกคนรังแกแท้ ๆ แต่การแสดงออกของท่าน ทำไมกลับทำเหมือนข้าล่วงเกินท่านอย่างไรอย่างนั้น ? เช่นนี้ไม่ถูกต้องนะ ข้าต่างหากที่เป็นน้องชายแท้ ๆ ของท่าน ตอนนั้นนั้นมีเปี๊ยะดอกกุ้ยฮวาเหลืออยู่ในมือเพียงชิ้นเดียว ยังเก็บเอาไว้ให้ข้าเลย !”
จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงฟึดฟัด : “ออกตามหาว่านางไปไหน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จ้านชิงอิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มร่าขึ้นทันที ในใจกำลังคิดว่า คนที่ท่านพี่เจ็ดเอ็นดูยังไงก็คือเขา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จ้านชิงอิงก็พูดว่า : “ท่านพี่เจ็ด คนที่เพิ่งหนีออกไปเมื่อครู่คือใคร ? ทำไมถึงได้กล้าทำร้ายองครักษ์ของจวนอ๋องได้ นี่มันชักจะใจกล้าเกินไปแล้ว หากไม่ใช่คนในจวนของท่าน หรือว่าจะเป็นนักฆ่า ?”
ตอนนี้หลิวหยิ่งออกไปแล้ว จึงย่อมไม่มีใครช่วยเขาอธิบาย จ้านเป่ยเซียวยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
จ้านชิงอิงลูบคางแล้วเดาออกมาว่า : “หรือว่าจะเป็นนักฆ่า ?”
อีกครู่เดียวก็พูดแย้งออกมาอีกว่า : “ไม่ถูก ๆ หากเป็นนักฆ่าจริง ทำไมท่านถึงไม่ยอมให้ข้าประหารนางเจ็ดชั่วโคตร ?”
จ้านชิงอิงยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว จากนั้นจึงหันมองจ้านเป่ยเซียวที่ยังคงอยู่ในท่าทีนิ่งเฉย แต่เขากลับไม่รู้สึกผิดหวัง เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ท่านพี่เจ็ดฟังคำพูดของเขามาตลอด
จ้านชิงอิงหันมองรอบด้าน : “ท่านพี่เจ็ด ได้ยินว่าท่านสู่ขอพระชายาแล้วไม่ใช่หรือ พี่สะใภ้เจ็ดของข้าล่ะ ? ทำไมมีท่านนั่งกินอาหารอยู่คนเดียว ? คงไม่ใช่ว่านางยังไม่ตื่นหรอกใช่ไหม ?”
“ท่านพี่เจ็ด ผู้หญิงน่ะ จะเอาใจนักไม่ได้ ท่านยิ่งดีกับนางนางจะยิ่งได้ใจ ท่านยิ่งเอ็นดูนาง นางจะยิ่งสร้างเรื่องปวดหัวให้กับท่าน ไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาสักนิด”
“หุบปาก !” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างดุดัน
จ้านชิงอิงทำท่าปิดปากทันที แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับเบิกกว้าง และหันมองท่านพี่เจ็ดของตนเองด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะยอมพูดตอบโต้กับเขาแล้ว
ผ่านไปสักพัก จ้านชิงอิงก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นอีกว่า : “ท่านพี่เจ็ด ท่านคงไม่ได้ กลัวภรรยาหรอกใช่ไหม ?”
“ทหาร จับเขาโยนออกไป” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
จ้านชิงอิงยังไม่ทันได้ร้องขอความเห็นใจ ก็ถูกองครักษ์สองสามคนเชิญตัวออกไป โดยไม่ได้จับโยนออกไปจริง ๆ
ขณะที่จ้านชิงอิงเดินทางกลับวังหลวง ก็ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาตามท้องถนน และบังเอิญเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนอ่องเจ็ดเมื่อวานพอดี
จ้านชิงอิงได้ยินดังนั้น ดวงตาทั้งสองข้างก็เบิกโพลง และตรงเข้าไปในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง และตามหาคนที่ได้ยินมาว่าอยู่ในเหตุการณ์ มาซักถามอย่างละเอียด
เมื่อได้ยินที่มาที่ไปแล้ว อ๋องสิบสองก็อดไม่ได้ที่จะหันมองไปทางจวนอ๋องเจ็ด และหลั่งน้ำตาเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจของตนเองที่มีต่อท่านพี่เจ็ด
ที่แท้เขาก็คาดเดาผิดไป อันที่จริงไม่ใช่เพราะท่านพี่เจ็ดของเขากลัวภรรยา แต่เป็นเพราะเหตุผลด้านร่างกายของท่านพี่เจ็ด จึงทำให้หญิงสาวคนนั้นปีนกำแพงหนีออกมา ด้วยความโมโหท่านพี่เจ็ดจึงหักขาของหญิงสาวคนนั้น ดังนั้นท่านพี่เจ็ดจึงนั่งกินอาหารอยู่ภายในจวนอย่างเดียวดายเช่นนั้น
ภาพที่น่าเวทนานั้น ทำให้จ้านชิงอิงรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา
แค่หักขายังถือว่าน้อยไปสำหรับผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงเช่นนี้คู่ควรจะเป็นพระชายาอ๋องเจ็ดที่ไหนกัน เขาจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...