เฟิ่งชิงหัวหันมองชายหนุ่มโดยไม่อยากเชื่อ จากนั้นจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่า ลมหายใจของจ้านเป่ยเซียวกำลังพ่นลงบนใบหน้าของตนเองอยู่
แววตาทั้งสองข้างของชายหนุ่มลึกซึ้งและเฉียบคม ตอนนี้กำลังจับจ้องมาที่นางตาเขม็ง อารมณ์บนใบหน้าเต็มไปด้วยความซับซ้อน จากนั้น ดวงตาทั้งสองข้างนั้นก็ค่อย ๆ ขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ใกล้จนกระทั่งเฟิ่งชิงหัวมองเห็นตัวเองในแววตาคู่นั้น
ตอนนี้เอง เฟิ่งชิงหัวก็ขยับถอยหลังไปทันที แล้วยื่นมือออกไปปิดริมฝีปากของตนเองเอาไว้ แล้วพูดขึ้นอย่างตื่นตระหนก : “ท่านอย่าทำอะไรมั่ว ๆ นะ”
จ้านเป่ยเซียวทำหน้านิ่ง แล้วพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ : “ถ้าแค่อยากเห็นใบหน้าของคนที่ทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิดเช่นเจ้าเท่านั้น เจ้าคิดว่าข้าจะจูบเจ้าหรือ ?”
สีหน้าของเฟิ่งชิงหัวเปลี่ยนไปในทันที นางจ้องมองจ้านเป่ยเซียว แล้วแทงเข่าไปยังจุดที่บอบบางที่สุดในร่างกายของเขา
จ้านเป่ยเซียวไม่คิดเลยว่า เฟิ่งชิงหัวจะทำอะไรเหนือความคาดหมายเช่นนี้ จึงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และงอตัวลงทันที
เฟิ่งชิงหัวกระโดดลงมาจากเตียงของจ้านเป่ยเซียวอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยืนอยู่ตรงหัวเตียงแล้วก้มมองลงมายังชายหนุ่มที่กำลังขดตัวอยู่ในทีท่าประหลาด จากนั้นจึงกัดฟันพูดว่า : “บอกว่าข้าอาย ? ข้านะหรือจะรู้จักอาย ? หึ ?”
ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ยืนอยู่ตรงประตูใหญ่ รับลมเย็น ทำให้ความโกรธที่ครุกรุ่นอยู่ในหัวของเฟิ่งชิงหัว เบาบางลงไปบ้าง
แต่ไหนแต่ไร นางเกลียดการที่ถูกคนใส่ร้ายที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าพูดว่านางคิดจะทำมิดีมิร้ายเขา หากไม่สั่งสอนเขาสักหน่อย คิดว่านางอับอายจริง ๆ
ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวไม่รู้สึกง่วงนอนอีก จึงนั่งลงที่โต๊ะหินภายในสวน แล้วเริ่มทำสมาธิปรับลมปราณ
ใช้กำลังภายในไปไม่น้อย สองสามวันนี้คงออกไปข้างนอกไม่ได้เป็นการชั่วคราว ดูเหมือนว่าบางเรื่องคงต้องถูกเลื่อนออกไปก่อนเสียแล้ว
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละนิด ๆ ท้องฟ้าที่อยู่เหนือหัวค่อย ๆ สว่าง มีกลีบดอกไม้ดีชมพูอ่อนร่วงลงมาบนหัวสองสามกลีบ
เฟิ่งชิงหัวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าในร่างกายเบาบางลงไม่น้อย
เฟิ่งชิงหัวบิดขี้เกียจแล้วกระโดดลงมาจากโต๊ะหิน จากนั้นจึงหันมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่ ก็ถ่มน้ำลายออกมา แล้วเดินกลับไปยังห้องของตนเองทันที โดยไม่หันหน้ากลับไปมองสักนิด
ทันทีที่เข้าไปในห้อง เฟิ่งชิงหัวก็ต้องรู้สึกแสบตาเพราะความสว่าง จึงรีบยกแขนเสื้อขึ้นบังสายตาเอาไว้ เมื่อดวงตาเริ่มปรับแสงได้ จึงหันมองไป พบว่าภายในห้องมีปะการังสีแดงที่พบในฉีเป่าเจเมื่อวานนี้ วางตระหง่านอยู่
เฟิ่งชิงหัวเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ พบว่าปะการังต้นนี้สูงเกือบจะเท่าไหล่ของนาง สีสันงดงามสดใส ราวกับสามารถส่องแสงได้
เฟิ่งชิงหัวลองลูบดู กลับพบว่าปะการังต้นนี้มีไอเย็นแผ่ซ่านออกมาเล็กน้อย และรู้สึกชื้น
นี่นับเป้นเครื่องทำความเย็นและเพิ่มความชื้นในอากาศที่ดี
เฟิ่งชิงหัวเล่นอยู่สักพัก ก็ให้ม่านเฉ่าตักน้ำมาให้นางอาบน้ำสระผม
หลังจากกินอาหารเช้าอย่างง่ายเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็พิงตัวลงบนเก้าอี้สำหรับเอนกายที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่างแล้วอ่านหนังสือ เป็นหนังสือภาพที่หน้าเบื่อเล็กน้อย สำหรับฆ่าเวลาโดยเฉพาะ และถือโอกาสผึ่งเส้นผมที่ยังเปียกอยู่ให้แห้ง
ผ่านไปไม่นานนัก ม่านเฉาก็นำจดหมายฉบับหนึ่งมาส่ง ด้านบนไม่มีชื่อเขียนเอาไว้ และได้ยินนางพูดว่า : “พระชายาเพคะ ที่คือจดหมายที่นายท่านให้หม่อมฉันนำมามอบให้พระองค์ บอกว่าพระองค์จะต้องทรงอ่านให้ได้ เป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่ง”
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วแล้วหันมองม่านเฉ่า เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ทำให้ม่านเฉ่าคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตกใจทันที
“พระชายาทรงอภัยด้วย จดหมายฉบับนี้ นายท่านส่งมาโดยอ้างชื่อคนในครอบครัวของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่รู้อะไรด้วยเลยจริง ๆ เมื่อครู่เพิ่งพบเข้าตอนที่จัดของ จดหมายฉบับนี้ถูกส่งมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วเพคะ” ม่านเฉ่ารีบอธิบาย
เฟิ่งชิงหัวมองดูการแสดงออกทางสีหน้าของนาง เมื่อมั่นใจว่านางไม่ได้โกหกจึงพูดขึ้นว่า : “ลุกขึ้นเถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...