สายตาของหนานกงจี๋จ้องมายังเฟิ่งชิงหัว: “นี่เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่ ที่นี่คือจวนเฉิงเซี่ยง จะปล่อยให้เจ้ามากำเริบเสิบสานไม่ได้!”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ: “นางใส่ร้ายข้า ข้าซัดนางไปหนึ่งฝ่ามือก็นับว่าหายกัน นางลงมือกับข้า หรือว่าข้าไม่สามารถป้องกันตัวได้งั้นหรือ?”
“แต่ทั้งๆ ที่เจ้าก็สามารถหลบได้แท้ๆ รู้อยู่แล้วว่าบนมีดนั้นมีพิษก็ยังจะทำร้ายนาง!”
เฟิ่งชิงหัวฟังคำพูดนี้แล้วก็ยิ่งน่าขำขันเข้าไปใหญ่: “ทำไม ก็อนุญาตให้แค่นางลงมือกับข้างั้นสิ? จวนเฉิงเซี่ยงของพวกเจ้าต่างก็เป็นเช่นนี้ที่ยินยอมให้ขุนนางวางเพลิงได้แต่กลับไม่ยินยอมให้ประชาชนจุดไฟสินะ?”
หนานกงจี๋ทราบดีว่าในตอนนี้หากจะมาโต้เถียงกับนางก็ไร้ประโยชน์ จึงให้คนพยุงคุณหนูใหญ่ลงไปรักษาตัวทันที หนานกงเยว่หลีสามารถมียาพิษได้ ก็แน่นอนว่าย่อมมียาถอนพิษ ไม่ต้องเป็นกังวลไปชั่วคราว เพียงแต่เรื่องของห้องลับนั้นก็น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
“ในเมื่อเยว่หลีบอกว่าเจ้าเข้าไปในห้องลับ งั้นเจ้าก็จะต้องเข้าไปอย่างแน่นอน! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนที่จะสืบเรื่องทั้งหมดให้กระจ่าง เจ้าจะไปไหนไม่ได้เป็นอันขาด!”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา: “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยงช่างเป็นผู้ที่ฉลาดเฉียบแหลมจริงๆ เลย แค่คำพูดไม่กี่คำของลูกสาวของท่านก็ตัดสินว่าผู้อื่นมีความผิดไปแล้ว ใส่ร้ายป้ายสี พูดมาได้หน้าด้านๆ เห็นทีวันนี้ข้ามีเหตุผลก็คงจะพูดไม่ขึ้นแล้วล่ะ?”
“เจ้าไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าเจ้าไม่ได้เข้าไป แน่นอนว่าจะต้องรอให้ตรวจสอบให้ชัดเจนเสียก่อน”
“หากข้ายอมรับล่ะ? ท่านยังคิดจะยื้อข้าเอาไว้อยู่ไหม?” เฟิ่งชิงหัวหรี่ตาแล้วกล่าว
“รั้งไว้อยู่หรือไม่นั้น ต้องลองดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” ในขณะที่หนานกงจี๋กล่าวอยู่นั้นก็ยื่นมือออกมาสะบัดมือ นับองครักษ์สิบนายออกมาอยู่ด้านหน้าของเฟิ่งชิงหัว
เฟิ่งชิงหัวสังเกตเห็นว่าคนทั้งสิบนี้ดียิ่งกว่าองครักษ์เฝ้าเรือนพวกนั้นที่จวนเฉิงเซี่ยงไม่รู้มากเท่าไร หากเป็นช่วงเวลาปกติ แน่นอนว่านางไม่เกรงกลัว แต่เพราะตอนนี้กำลังภายในของนางร่อยหรอลงไปจนไม่เหลือทุกทีแล้ว นึกถึงว่าจะต้องต่อกรกับคนพวกนี้เกรงว่าค่อนข้างจะยากอยู่บ้าง
เมื่อเห็นระดับความสำคัญที่หนานกงจี๋มีต่อห้องลับนั้น วันนี้แม้ว่าเฟิ่งชิงหัวจะไม่ได้เข้าไปในห้องลับจริงๆ เขาก็จะต้องไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้เอาความผิดไปได้เป็นแน่
ในเมื่อคิดวางแผนไว้ว่าจะลงมือกับนางแล้ว ในใจของเขาก็ย่อมคิดแผนการที่จะสามารถข้ามผ่านราชวงศ์ทางด้านนั้นไปได้แล้วเรียบร้อยแน่นอน
นี่ยิ่งอธิบายได้ว่าเรื่องที่เขากักขังหน่วงเหนี่ยวคนแซ่หยูไว้มันน่าจะไม่ได้เป็นเรื่องง่ายดายเช่นนั้นแน่
ดวงตาของเฟิ่งชิงหัวเคร่งขรึมขึ้นมา ในมือมีเม็ดยาสีแดงหนึ่งเม็ดออกมา มันเป็นโอสถที่นางค้นคว้าศึกษาอย่างตั้งใจที่จะทำให้ฟื้นฟูกำลังภายในได้ในระยะเวลาสั้นๆ ได้พอดี มีเวลาต่อเนื่องเพียงแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น แต่ว่าผลข้างเคียงของโอสถชนิดนี้สูงมาก ไม่เพียงไม่เพียงแต่เร่งการทำงานของร่างกายที่ล้มเหลวเท่านั้น
หากไม่ใช่เวลาคับขันจริงๆ นางก็จะไม่คิดที่จะใช้โอสถเช่นนี้แน่ เพียงแต่นางในตอนนี้ไม่มีทางเลือก นางยังต้องช่วยชีวิตท่านแม่ให้ออกไปอีก
และในตอนที่กลืนโอสถลงไป ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น เส้นเลือดลมปราณปะทุขึ้นมายังข้อมือของนาง ดีดเม็ดยาในมือของนางทิ้งไป
ยาเม็ดนั้นตกลงไปในสระน้ำที่อยู่ต่ำลงไปด้านข้าง ผ่านไปไม่นานก็ละลายไป ปรากฏออกมาเป็นเสียงบุ๋งๆ เบาๆ
เฟิ่งชิงหัวเงยศีรษะมองไปยังทางที่มา แต่กลับเห็นในมือขององครักษ์ชุดดำกลุ่มหนึ่งถือมีดล้อมคนของหนานกงจี๋เอาไว้
ผู้ชายในชุดเพ้าสีดำยาวทั้งชุดค่อยๆ เดินมา ทั้งสองฝั่งมีองครักษ์ยืนอยู่เป็นทิวแถว มือข้างหนึ่งถือกระบี่ไว้อีกข้างหนึ่งถือฝักกระบี่ไว้ เพียงแค่รอคำสั่งการลงมาคำเดียวก็จะเริ่มสังหารทั้งหมดทันที
สายตาของหนานกงจี๋หยุดมองไปยังบนขาทั้งสองข้างของชายผู้นั้น เห็นเพียงขาทั้งสองข้างของฝ่ายชายสูงยาวฉลูด ฝีเท้าไม่รีบร้อนแล้วก็ไม่เชื่องช้า แต่กลับมีกลิ่นอายที่สะเทือนฟ้าดิน หน้ากากที่อยู่บนใบหน้าก็ยิ่งเข้ากันได้ดีกับรูปลักษณ์ของเขา
“ท่าน ท่านอ๋อง” หนานกงจี๋ยับยั้งการออกแรงที่อยู่ในใจไว้ มองมายังขาทั้งสองข้างของฝ่ายชายราวกับเหมือนคนธรรมดา มีอาการดึงสติกลับมาไม่ค่อยได้
จ้านเป่ยเซียวจ้องมาที่หนานกงจี๋ สีของดวงตาดูหม่นหมองเคร่งขรึม แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความเย็นชาอึมครึมอยู่ในนั้น ทำให้หนานกงจี๋ตกใจไปจนไม่อาจดึงสติกลับมาได้จนต้องสำลักออกมาดัง “ตุ๋ม” ครู่หนึ่งแล้วคุกเข่าอยู่กับพื้นไปเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...