ท่านน้าสุ่ยพยักหน้าทั้งน้ำตาพลางเข้าไปกอดหนานกงลู่ซิ่วและร้องไห้ “ลูกสาวของข้า ลูกสาวที่น่าสงสารของข้า ทำไมชีวิตเจ้าถึงลำบากเช่นนี้ อายุยังน้อยก็ต้องมาเป็นม่ายไปเสียก่อน ตอนนี้พ่อของเจ้ายังทำร้ายเจ้าอีก เจ้าเป็นลูกแท้ๆ ของเขานะ ทำไมเขาถึงลงมือกับเจ้าได้”
หนานกงลู่ซิ่วแค่นยิ้ม “แม่ หนูบอกแม่ไปตั้งนานแล้วว่าอย่าไปคาดหวังอะไรกับคนในจวนนี้ ภายนอกจวนเฉิงเซี่ยงอาจจะดูสวยงาม แต่เบื้องหลังกลับเน่าเฟะ ไม่มีใครเป็นคนดี คนที่พวกเราเชื่อได้ก็คือพวกเราเองเท่านั้น”
“อย่างนั้นพวกเราหนีกันดีไหม หนีจากจวนเฉิงเซี่ยงแล้วไปยังที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเรา หลายปีมานี้แม่เก็บเงินเอาไว้บ้าง เรายังสามารถใช้ชีวิตไปได้กันอีกหลายปี รอให้ออกไปได้ก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ”
“แม่อย่าไร้เดียงสาหน่อยเลยได้ไหม แม่คิดว่าหนานกงจี๋จะปล่อยให้พวกเราเป็นอิสระหรือ อย่าว่าแต่ตอนนี้ที่จวนเฉิงเซี่ยงมีองครักษ์เฝ้าอย่างแน่นหนาเลย หากพวกเราหาคนช่วยพวกเราหนีออกไปได้ ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างพวกเราจะเอาตัวรอดกันได้อย่างไร” หนานกงลู่ซิ่วตีแผ่ปัญหาออกมาให้เห็นเพื่อเตือนสติท่านน้าสุ่ย
“แต่หากอยู่ที่จวนเฉิงเซี่ยงต่อไป เจ้าจะทำอย่างไร หากพวกเขารู้ว่าอาการป่วยของเจ้าหายแล้ว เขาคงไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่” ตอนนี้แค่ท่านน้าสุ่ยนึกถึงสายตาที่หนานกงจี๋มองลู่ซิ่วก็รู้สึกหนาวสันหลังแล้ว สายตานั้นไม่ใช่สายตาที่ใช้มองลูกสาวของตัวเอง แต่เป็นสายตาที่ใช้มองของทดลองเท่านั้น
“มีวิธีสิ ขอเพียงแค่จวนเฉิงเซี่ยงล้ม พวกเราก็จะรอด” หนานกงลู่ซิ่วยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก แววตาของนางเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
“ล้ม? จะเป็นไปได้อย่างไร ลู่ซิ่ว นี่คือจวนเฉิงเซี่ยงนะ ไม่ใช่จวนเล็กๆ เลย จะล้มไปง่ายๆ ได้อย่างไร”
ท่านน้าสุ่ยยังไม่ทันพูดจบ หนานกงลู่ซิ่วก็เอ่ยขัดขึ้นมาว่า “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ ท่านแม่คิดว่าการกระทำทุกอย่างของเขาจะไม่มีใครสังเกตเห็นเลยหรือ เมื่อครู่นี้ใต้เท้าคนนั้นก็บอกแล้วว่าพี่รองเป็นคนบอกเขาเรื่องนี้เอง นั่นแสดงว่าพี่รองตั้งใจให้คนจากจวนศาลาว่าการพระนครจับตาดูจวนเฉิงเซี่ยง อีกอย่างแม่ก็บอกเองไม่ใช่หรือว่าวันนั้นพี่รองกับท่านพ่อเกิดเรื่องขัดแย้งกัน โชคดีที่ท่านอ๋องตามมาทัน หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นห้องทรงงานที่จวนก็เกิดทรุดตัว เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับพี่รองอย่างไม่ต้องสงสัย นางจะต้องรู้เรื่องอะไรบางอย่าง พวกเราจะต้องอยู่ข้างพี่รองรับรองว่าเราจะไม่เป็นไรแน่นอน”
“แต่ว่าคุณหนูรองเป็นลูกสาวของฮูหยินใหญ่ นางจะช่วยพวกเราจริงหรือ” ท่านน้าสุ่ยไม่อยากจะเชื่อ
หนานกงลู่ซิ่วมองมารดาของตนเองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าคนที่สังเกตอะไรไม่ได้อย่างนางเท่านั้นถึงได้อยู่รอดในจวนเฉิงเซี่ยงแห่งนี้มาอย่างยาวนาน ส่วนผู้หญิงคนอื่นๆ หากตอนตั้งครรภ์ไม่โดนฮูหยินใหญ่วางยาทำแท้ง บางคนก็ตาย บางคนก็เป็นบ้า หรือไม่ก็ถูกยัดข้อหาทำให้ถูกไล่อออกจากจวนไป
“ท่านแม่ แม่ยังมองไม่ออกอีกหรือว่าพี่รองไม่ใช่ลูกสาวของฮูหยินใหญ่ ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมชีวิตของพี่ใหญ่กับพี่รองถึงแตกต่างกันนักตั้งแต่เด็กยันโต ทำไมพี่ใหญ่ถึงคอยช่วยเหลือข้าแต่รังแกพี่รอง แม่คิดว่าหนูจะมองไม่ออกงั้นหรือ”
ท่านน้าสุ่ยได้ยินดังนั้นก็ตกใจมาก “มันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ว่า ฮูหยินกับนายท่านก็พูดแบบนี้”
หนานกงลู่ซิ่วส่ายหน้าและตั้งใจจะไม่บอกนางว่าพี่รองในวันนี้ไม่ใช่พี่รองตัวจริง หนานกงจี๋คงคิดว่าก่อนหน้านี้ตนเองสามารถควบคุมนางได้ แต่ตัวเขาเองก็คงไม่คิดเช่นกันว่าพี่รองไม่ใช่คนนิสัยอ่อนแอที่จะรังแกเอาได้ง่ายๆ อีกแล้ว
“ท่านแม่ เรื่องอื่นแม่ไม่ต้องรู้หรอก แม่รู้แค่ว่าพวกเราอยู่ข้างพี่รองน่ะถูกต้องแล้ว วันหน้าเรื่องใดที่พี่รองฝากฝังท่านต้องเชื่อฟังนาง อีกไม่นานนางต้องมาหาข้าแน่ๆ ตอนนี้พวกเราอยู่เงียบๆ เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงก็พอ”
ท่านน้าสุ่ยพยักหน้า ตอนนี้ชีวิตนางให้ความสำคัญกับลูกสาวมากที่สุด แน่นอนว่านางว่าอย่างไรก็ว่าตามนาง
ทว่าในเวลานี้ ในจวนอ๋องเจ็ด เฟิ่งชิงหัวกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้โยกเยก พลางโยนเม็ดแตงเข้าปากอย่างสบายอารมณ์ ม่านเฉ่าที่อยู่ข้างๆ กำลังยกเอาจานเมล็ดแตงและของว่างมาวางไว้ให้บนโต๊ะ
“เดี๋ยวก่อน เอาเมล็ดแตงส่งมาให้ข้า” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยพลางชี้นิ้วสั่งการ เมื่อรับจานเม็ดแตงมาแล้วจึงเอาวางไว้บนท้องของตนเองแล้วเริ่มขบเปลือก
ม่านเฉ่าเห็นท่าทางสบายๆ ของนางก็มีความคิดบางอย่าง จึงอดไม่ได้ที่กล่าวว่า “พระชายา พวกเราทำอย่างนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่กระมังเจ้าคะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...