พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว นิยาย บท 189

เฟิ่งชิงหัวเห็นท่าทางเช่นนี้ของจ้านเป่ยเซียว รู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้ สามารถทำให้ให้นางดูไม่ดีได้ทุกสถานที่จริง ๆ ทำดีกับตนเองไม่หยุดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ พอถึงตอนที่เขาหย่าล้างกับตน ก็จะทำให้คนอื่นรู้สึกเพียงว่า ดีมากที่หย่าล้าง สตรีที่เกาะบุรุษกินเช่นนี้ ควรที่จะไล่ออกจากบ้านไปด้วยซ้ำ

ที่จริงแล้วสำหรับการเลี้ยงดูนางระบบเปิดของจ้านเป่ยเซียวนางไม่มีความคิดเห็นใด ๆ เลยสักนิด เช่นนั้นพอถึงตอนนั้นนางจงใจกระทำผิดเพื่อให้เขาหย่ากับนาง นางสามารถยอมรับได้ แต่ตอนนี้เขากำลังใช้แผนคำวิพากษ์วิจารณ์อยู่นะ

แบบนี้มันไม่ได้ นางเฟิ่งชิงหัวสามารถทำผิดได้ ทำผิดแล้วนางก็เต็มใจที่จะยอมรับ แต่ตอนนี้เขาทำเช่นนี้ เท่ากลับเป็นการผักนางลงสู่ความอยุติธรรมชัด ๆ

พอถึงตอนนั้นคนภายนอกก็จะบอกว่า ใครคนนั้น พระชายาเจ็ด เอาแต่นั่งกินนอนกิน แค่ทานข้าวยังต้องให้ผู้เป็นสามีคีบอาหารให้ อยู่ต่อหน้าเสด็จย่าเสด็จพ่อเสด็จแม่น้องชายสามีก็ยังไม่เจียมตัว คนเช่นนี้ สมควรที่จะถูกอย่างเป็นร้อยครั้ง

เฟิ่งชิงหัวยิ่งคิดก็ยิ่งมิอาจฝืนทน นางได้วางตะเกียบในมือลงจริง ๆ ด้วย ท่าทางบนใบหน้าก็ยิ่งเร่าร้อนเจิดจรัส: “ท่านอ๋อง ท่านอย่าเอาแต่คีบให้หม่อมฉันสิ ต้องเป็นหม่อมฉันปรนนิบัติท่านอ๋องเสวยถึงจะถูก

กล่าวไป ก็ยื่นตะเกียบไปคีบอาหารที่อยู่ด้านข้าง และวางใส่ลงไปในถ้วยของจ้านเป่ยเซียว

จ้านเป่ยเซียวคิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชิงหัวจะมีการเคลื่อนไหวเช่นนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ชะงักไปพลางจ้องมองอาหารที่อยู่ในถ้วย และขมวดคิ้วเล็กน้อย

คราวนี้ จ้านชิงอิงถึงกับสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกใหญ่ ตกตะลึงจนต้องยกถ้วยอาหารขึ้นมาและถอยหลังไปหนึ่งก้าว จ้องเฟิ่งชิงหัวตาเขม็งด้วยดวงตาทั้งสองข้าง

แย่แล้ว ๆ พี่สะใภ้เจ็ดคนนี้ประจบโดนรังแตนเข้าให้เสียแล้ว พี่เจ็ดเป็นคนที่รักความสะอาดเอามาก ๆ อย่าว่าแต่น้อยมากที่จะนั่งร่วมโต๊ะทานข้าวกับคนอื่นเลยแม้แต่ตักอาหารยังต้องให้ตะเกียบกลางคีบมาใส่ถ้วยเลย

พี่สะใภ้เจ็ดตื่นเต้นจนลืมไป หรือว่าสมองไม่ดีกันแน่ หวังเพียงว่าพี่เจ็ดจะเห็นแก่ที่ตอนนี้เสด็จย่าและเสด็จพ่อยังอยู่ตรงนี้และระงับอารมณ์เอาไว้ก่อน มิเช่นนั้นละก็ เกรงว่าอาหารมื้อนี้คงไม่สามารถทานต่อไปได้

ไม่ใช่เพียงแค่จ้านชิงอิงที่คิดเช่นนี้ คนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนั้นต่างก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน

ฮ่องเต้เซวียนถ่งมองดูเฟิ่งชิงหัว และส่ายศีรษะเบา ๆ

เดิมคิดว่าเป็นคนเฉลียวฉลาด คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนโง่เขลาคนหนึ่งเช่นเดียวกัน นานขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ถึงความเคยชินของเจ้าเจ็ดเลย อีกประเดี๋ยวถ้าหากถูกตีจนได้รับบาดเจ็บหนัก เขาจะให้คำอธิบายกับเฉิงเซี่ยงอย่างไร ถ้าหากเจ้าเจ็ดไม่ระวังออกแรงหนักจนเกินไปทำให้อีกฝ่ายเสียชีวิตเขาจะช่วยปิดบังอย่างไรดี

ในดวงตาของฮองเฮานั้นกลับเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ ภายในใจเฝ้ารอเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายโน้มไปด้านหน้าอย่างห้ามไม่ได้

เดิมทีไทเฮาก็ไม่ชอบทั้งสองคนอยู่แล้ว ถ้าหากทั้งสองคนทะเลาะกันขึ้นมาต่อหน้าไทเฮา อีกสักครู่จะต้องคิดบัญชีทบต้นทบดอกเป็นแน่

สำหรับไทเฮานั้น ภายในใจก็ยิ่งคิดอย่างเรียบง่าย หวังให้เฟิ่งชิงหัวได้รับบทเรียนอยู่แล้ว ตอนนี้มีคนช่วยลงมือแทน พอถึงตอนนั้นนางค่อยพูดจาโน้มน้าวสักสองสามประโยคเป็นอันพอ

พบเพียงว่าเฟิ่งชิงหัวได้ยิ้มอ่อน ๆ : “ท่านอ๋อง ข้าคิดว่าอาหารจานนี้อร่อยที่สุด ท่านรีบลองชิมเร็ว”

จ้านชิงอิงคิดอยู่ภายในใจ อร่อยที่สุดแล้วอย่างไร ต่อให้สิ่งที่ท่านยื่นให้ในตอนนี้นั้นเป็นตับมังกรดีหงส์ก็ช่วยชีวิตน้อย ๆ ของท่านไม่ได้แล้วล่ะพี่สะใภ้เจ็ด

ใครจะไปรู้ล่ะว่า เมื่อจ้านเป่ยเซียวได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงหัวคิ้วที่ขมวดอยู่ก็พลันผ่อนคลาย พยักหน้าเล็กน้อย คีบเอาอาหารนั้นขึ้นมาส่งเข้าไปในปากและเคี้ยว แล้วกล่าว: “ไม่เลว”

เอาอาหารที่อร่อยที่สุดให้เขาได้ลองชิม การตื่นตัวเช่นนี้ไม่เลวเลย เขาพอใจเป็นอย่งมาก

เสียงนี้ กลับทำให้จ้านชิงอิงต้องตกตะลึง

อาการป่วยของพี่เจ็ดหายดีแล้ว แม้แต่โรคชอบความสะอาดก็หายไปด้วย?

นี่เป็นตะเกียบที่คนอื่นใช้มาก่อนนะ

แต่ทว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุด เวลาต่อมา เข้าก็ได้เห็นพี่สะใภ้เจ็ดที่ไม่รู้ว่าตนได้ทำอะไรลงไปคนนั้นยิ้มออกมา ได้ใช้ตะเกียบคีบอาหารให้พี่เจ็ดเรียงกันติด ๆ อาหารเหล่านั้นถูกพี่เจ็ดคีบเข้าปากทานลงไปจนหมด

จ้านชิงอิงค่อย ๆ ได้สติกลับคืนมา นั่งกลับลงไปบนที่นั่งของตัวเองและทานอาหารต่อไป ทว่าที่เหลืออีกสามคนกลับไร้ซึ่งความอยากอาหาร สายตาจับจ้องไปยังทั้งสองคนที่สนิทสนมกันเป็นบางครั้งครา มีความรู้สึกไม่รู้ถึงรสชาติอาหารเล็กน้อย

จ้านเป่ยเซียวทานข้าวหมดไปสองถ้วยเต็ม ๆ ถึงได้หยุดลง และยังได้ปลีกเวลาไปถามเฟิ่งชิงหัวหนึ่งประโยค: “เจ้าทานเสร็จหรือยัง?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว