เฟิ่งชิงหัวนวดขมับอย่างอดไม่ได้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เลือกกลับไปทางเดิมจนได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสถานที่เพิ่งจะแยกจากจ้านเป่ยเซียวเมื่อครู่นี้นั้น ข้างเสาระเบียงแห่งหนึ่งมีร่างสีดำสูงยางร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
ผู้ชายคนนั้นสวมชุดเพ้าดำทั้งตัว มือทั้งสองข้างเอาประสานกันไปด้านหลัง ได้ยินเสียงฝีเท้า หันหลังกวาดสายตามองไปยังเฟิ่งชิงหัว
คนผู้นี้ทำไมจึงยังอยู่ที่เดิม หรือว่ากำลังรอนาง?
ในหัวสมองเพิ่งจะมีความเป็นไปได้นี้เกิดขึ้นก็ถูกเฟิ่งชิงหัวลบเลือนทิ้งไป คนผู้นี้อย่างมากก็น่าจะหลงทาง เหตุใดเขาจึงใจดีที่จะรอนาง เขาไม่มีทางทราบว่าตนจะกลับมาหาเขาได้หรอก
คราวนี้เฟิ่งชิงหัวก็กลับหลังหันแล้วก็เดินไปอย่างตัดใจ ยังไงนางก็กล่าวไว้แล้วว่าพูดกับเขาอีกก็เท่ากับว่าเป็นหมู
นางยืนอยู่ไม่ขยับไปไหน จ้านเป่ยเซียวก็ไม่ขยับเช่นกัน ทั้งสองคนยืนอยู่กลางสายลมยามค่ำคืน เจ้ามองข้า ข้าก็มองเจ้า
ใครก็ไม่เคลื่อนฝีเท้าไปแม้แต่ครึ่งก้าว
เฟิ่งชิงหัวโมโหขึ้นมาเล็กน้อย คนผู้นี้ยืนบื้ออยู่ทำไมกัน ก็รีบไปสิ เป็นไปไม่ได้ที่เขาก็ไม่รู้ทางเช่นกันงั้นเหรอ
วังหลวงโดยปกติองครักษ์เยอะจะตายไป เหตุใดจะต้องไม่มีในเวลานี้ด้วย ตอนนี้ไม่น่าจะเป็นเวลาลาดตระเวนหรอกหรือ?
ภายในวังหลวงก็ยังกล้าที่จะอู้งานเช่นนี้อีกหรือ?
และในตอนที่เฟิ่งชิงหัวหันหลังไปคิดอยากจะพึ่งพาตนเองในการเดินออกจากวังน่าพิศวงนี้ไป ทางด้านหลังจู่ๆ ก็มีเสียงที่น่าตกใจดังขึ้นมา: “พี่เจ็ด พวกท่านยังไม่ไปเหรอ กำลังรอข้างั้นเหรอ?”
ร่างทั้งร่างของท่านอ๋องสิบสองราวกับนกน้อยที่ดีใจตัวหนึ่งก็ไม่ปาน กางมือออกทั้งสองข้างแล้วกระพือมาอยู่ระหว่างกลางของทั้งสองคน รอยยิ้มดูสดใสประกาย ดวงตาสว่างไสว
คราวนี้เฟิ่งชิงหัวก็ยากที่จะเห็นคนที่ยังมีชีวิตที่สามารถพูดได้คนหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างซาบซึ้งน้ำตารวยรินว่า: “น้องชายใหญ่ไปด้วยกันเถอะ”
จ้านชิงอิงกลับมองมาทางเฟิ่งชิงหัวอย่างเปี่ยมไปด้วยรังเกียจ: “ใครเป็นน้องชายคนโตของเจ้า ข้าเป็นลุงเล็กของเจ้า”
เฟิ่งชิงหัวปาดเหงื่อบนใบหน้าออก สีหน้าท่าทางพยายามสุภาพที่สุด: “คุณลุงเล็ก ไปด้วยกันนะ”
จ้านชิงอิงส่ายหัว: “ไม่ได้”
เฟิ่งชิงหัวอึ้งไปอย่างผิดคาด: “ทำไม?”
“ชายหญิงสนิทใกล้ชิดกันไปไม่ได้ อีกอย่างท่านเป็นสะใภ้เจ็ดของข้า เดินไปด้วยกันมันใช่เรื่องที่ไหนกันเล่า ข้าไม่อยากมีข่าวลือฉาวโฉ่วในวันพรุ่งนี้ว่าสะใภ้อะไรหนีไปตามลำพังกับลุงเล็ก” ในขณะที่จ้านชิงอิงพูดอยู่นั้นยังแสดงท่าทางออกมาอยู่ในระยะที่ห่างจากเฟิ่งชิงหัวหลายฟุตอยู่ ค่อนข้างอยู่ใกล้กับจ้านเป่ยเซียวเสียมากกว่า
“พี่เจ็ดกลับจวนด้วยกันนะ” ต่อจ้านเป่ยเซียวแล้ว จ้านชิงอิงกลับแสดงสีหน้าท่าทางที่สนิมชิดเชื้อออกมา หากบอกว่าเป็นขาสุนับก็ยังบอกว่าได้เลย
ดวงตาของจ้านเป่ยเซียวตวัดไปมองเขาอย่างเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง จ้านชิงอิงหดคอลงทันที ที่ตรงนั้นดูเย็นเยือกขึ้นมาเล็กน้อย ยังรู้สึกด้วยว่าร่างกายค่อนข้างหนาวขึ้นมา
“พี่เจ็ด ท่านเกลียดเสด็จย่าก็เอาไว้ก่อนเถอะ ข้าเป็นถึงน้องสิบสองสุดที่รักที่สุดของท่านเชียวนะ อย่าได้ปลดปล่อยธนูเย็นของท่านออกมาต่อข้าเลยนะ?” จ้านชิงอิงกล่าวออกมาด้วยถ้อยวาจาที่น่าสงสาร
“ไปให้พ้น” ฝ่ายชายกลัวดอกพิกุลจะล่วงเอา ก็เลยทิ้งตัวอักษรไว้ให้เขาหนึ่งคำทันที
จ้านชิงอิงรู้สึกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก จับไปยังหน้าอกของตนเองแล้วทำท่าทางผิดหวังเสียใจออกมา: “พี่เจ็ด ท่านนับวันจะยิ่งเย็นชา เมื่อก่อนก็จะบอกให้ข้าหลีกไป ตอนนี้ คิดไม่ถึงว่าเฉยชาจนมีเพียงแค่คำว่าไปให้พ้น เป็นอะไรกันที่มาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของพวกเรา? เป็นเวลา? หรือว่าระยะทาง? จะว่าไปเอาข้าจำเป็นจะต้องไปพำนักอยู่ที่จวนอ๋องของท่านชั่วคราวเพื่อบ่มเพาะความสัมพันธ์พี่น้องของพวกเราแล้วล่ะ”
จ้านชิงอิงพูดออกมาเป็นกองเยอะแยะเต็มไปหมด แต่กลับพบว่าในครั้งนี้สายตาของพี่เจ็ดไม่มีเขาเลย แต่กลับมองเลยเขาไป มองไปยังสะใภ้เจ็ดที่อยู่ด้านหลังเขา
จ้านชิงอิงไม่พอใจเล็กน้อย มองไปยังจ้านเป่ยเซียว: “พี่เจ็ด เป็นข้าที่กำลังพูดกับท่านอยู่ ในสายตาของท่านเห็นข้าบ้างหรือปล่า?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...