“นี่คือคุณหนูรองของจวนเฉิงเซี่ยงผู้นั้นหรือ ? หญิงผู้โง่เขลาที่ไร้ความสามารถและอ่อนแอ ? ข้าว่านางดูไม่เหมือนพวกขี้ขลาดเลยสักนิด กล้าเผชิญหน้ากับพ่อบังเกิดเกล้าของตนเอง ซ้ำยังกล้าท้าทายองค์รัชทายาทอีกด้วย”
“คนที่แต่งเข้าจวนอ๋องเจ็ดก็คือคุณหนูรองหนานกงเยว่ลั่ว ผู้ที่ยนอยู่ตรงหน้าผู้นี้”
“เมื่อก่อนได้ยินมาว่านางหลงรักองค์รัชทายาทจนหัวปักหัวปำ เมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจแต่งงานกับองค์รัชทายาทได้ ก็รู้สึกจะเป็นจะตายมิใช่หรือ ? แล้วทำไมตอนนี้ถึงไร้ความเคารพต่อองค์รัชทายาทเช่นนี้ หรือเป็นเพราะความรักก่อให้เกิดความแค้น ?”
“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อก่อนพระชายาอ๋องเจ็ดไม่พึงพอใจในตัวอ๋องเจ็ดที่มีร่างกายพิการ จึงเป็นกำแพงหนีอย่างโจ๋งครึ่มจนเกือบถูกอ๋องเจ็ดจับหักขา แต่เจ้าดูสิ สองคนนี้กล้าจูงมือกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ นี่จะเรียกว่าความสัมพันธ์ไม่แน่นแฟ้นได้อย่างไร ?”
คนเหล่านี้พูดจากันเสียงเบา แต่ก็ยังไม่อาจพ้นหูของจ้านเป่ยเซียวได้ ทันทีที่เขากวาดสายตามา ก็รู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ จากนั้นเสียงก็เงียบลงทันที และไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก
หลังจากเฟิ่งชิงหัวพูดจบ จ้านถิงเฟิงและเฉิงเซี่ยงก็ไม่พูดอะไรต่ออีก เฟิ่งชิงหัวจึงจูงมือของจ้านเป่ยเซียว แล้วเดินออกไปจากกรมคลังทันที
ตลอดทางที่เดินมา จ้านเป่ยเซียวไม่หันมองใครสักคน ทำเพียงเดินตามที่เฟิ่งชิงหัวจูงไป สายตาคอยจับจ้องอยู่ที่มือของทั้งสองที่กุมกันอยู่ มุมปากโค้งเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขากำลังอารมณ์ดี
อารมณ์ดี ?
เข้าไปในกรมคลังอย่างไร้เหตุผล อ๋องเจ็ดที่รอดพ้นจากการถูกกล่าวโทษอย่างหวุดหวิด ไม่เพียงไม่รู้สึกโมโหจนคิดอยากสังหารคนเท่านั้น แต่กลับปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าอีกด้วย
นี่มันท่าทีประหลาดอะไรกัน ?
จ้านเป่ยเซียว บุคคลผู้ซึ่งทั่วทั้งเทียนหลิงไม่กล้าเอ่ยถึง
สิบห้าปีก้าวเข้าสู่สนามรบ ใช้วิธีการสังหารที่เด็ดขาดทำให้เหล่าแม่ทัพยอมจำนน ทำให้ประเทศอื่นรู้สึกหวาดกลัว ขยายอาณาเขตของเทียนหลิงให้กว้างใหญ่ขึ้นภายในระยะเวลาห้าปี
หากมิใช่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างกะทันหัน จนต้องถอนตัวออกจากสนามรบ เกรงว่าตอนนี้เทียนหลิงคงกลายเป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่เพียงแต่ประเทศอื่นจะเกรงกลัวเท่านั้น แม้กระทั่งขุนนางในสราชสำนัก ก็ไม่มีใครที่จะไม่รู้สึกเกรงกลัวเขา
พวกเขาเคยเห็นเทพสังหารผู้นี้ยิ้มตั้งแต่เมื่อไรกัน ซ้ำยังปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งจูงเขาไปแต่โดยดีโดยไม่ได้ขัดขืนใด ๆ สิ่งนี่ทำให้รู้สึกยากจะเข้าใจได้
“ท่านพี่เจ็ด ท่านพี่สะใภ้เจ็ด รอข้าด้วย !” จ้านชิงอิงนึกขึ้นได้ จึงรีบตามทั้งสองคนไป
เมื่อทุกคนตั้งสติกลับมาได้ จ้านถิงเฟิงก็หันมองเฉิงเซี่ยง : “ไหนบอกว่ามั่นใจอย่างยิ่งมิใช่หรือ ?”
หนานกจี๋กัดฟัน : “หม่อมฉันกล้ารับประกันว่า คนเมื่อคืนนี้คือหนานกงเยว่ลั่วแน่นอน !”
“ลูกสาวแท้ ๆ ลอบสังหารท่าน ? พูดออกไปใครจะเชื่อ ? ไม่สู้ท่านพูดออกไปว่าจ้านเป่ยเซียวลอบสังหารท่านยังจะดูน่าเชื่อถือเสียกว่า”
“พระองค์ก็ไม่ทรงเชื่อหม่อมฉันหรือ ?” หนานกงจี๋กัดฟัน
“มิใช่ว่าข้าไม่เชื่อท่าน แต่คำพูดของท่านเอง ท่านเชื่อหรือไม่เล่า ? หากภายหน้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ไม่ต้องเรียกข้าแล้วนะ จะต้องไม่ต้องอับอายขายหน้าไปพร้อมกับท่าน !” จ้านถิงเฟิงพูดพลาง ก็เดินจากไปด้วยความโมโห
ด้านนอกประตูใหญ่กรมคลัง เฟิ่งชิงหัวจูงจ้านเป่ยเซียวขึ้นรถม้าไป
ขณะที่กำลังจะออกเดินทาง ด้านนอกก็มีเสียงของจ้านชิงอิงดังขึ้น : “ท่านพี่เข็ด ท่านพี่สะใภ้เจ็ด รอข้าด้วยสิ”
ขณะที่จ้างชิงอิงกำลังจะตามขึ้นรถม้าไปด้วย ก็ถูกหลิวหยิ่งขวางเอาไว้ : “ท่านอ๋องสิบสอง ที่เป็นรถม้าประจำพระองค์ของท่านอ๋องเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
จ้านชิงอิงชี้ไปที่รถม้าแล้วพูดว่า : “แต่นางเองก็ขึ้นไปแล้วมิใช่หรือ ?”
“นางที่พระองค์พูดถึงคือ ?”
“ท่านพี่สะใภ้เจ็ดอย่างไรเล่า” จ้านชิงอิงพูดด้วยท่าทางมีเหตุมีผล
หลิวหยิ่งพูดด้วยความเคารพ : “ท่านพูดเองว่า นั่นคือพี่สะใภ้เจ็ดของท่าน จึงย่อมต้องขึ้นไปได้แน่นอน”
“ข้าเป็นพี่น้องกับพี่เจ็ด ไม่ควรสนิทสนมยิ่งกว่านางหรอกหรือ ?” จ้านชิงอิงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ และเดินตรงเข้าไปตะโกนใส่รถม้า : “ท่านพี่เจ็ด ข้าเอง น้องสิบสิงอย่างไรเล่า ท่านรีบดูข้าเร็วเข้า”
ม่านของรถม้าถูกเปิดออก เฟิ่งชิงหัวชะโงกหน้าออกมาครึ่งหนึ่ง และเอ่ยถามคนในรถม้าที่ปกปิดใบหน้าอยู่ครึ่งหนึ่ง : “น้องสิบสองของท่านเรียกท่านอยู่”
“ไม่สนิท” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่แยแส
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...