ตอนที่จ้านชิงอิงตามมาถึงจวนอ๋องด้วยความเหน็ดเหนื่อย ก็ประจวบเหมาะกับที่จ้านเป่ยเซียวอาบน้ำเสร็จและรมควันอ้ายเฉ่าพอดี กลิ่นนั้นฟุ้งเสียจนจ้านชิงอิงจามออกมาสองครั้งทันที
“ท่านพี่เจ็ด กลิ่นแปลก ๆ บนร่างกายของท่านช่างเหม็นจริง ๆ ท่านไปอาบน้ำอีกครั้งจะดีกว่าไหม ?” จ้านชิงอิงย่นจมูก ดูราวกับลูกสุนัขเพิ่งคลอดอย่างไรอย่างนั้น ช่างดูบอบบางและไร้เดียงสา ซึ่งแตกต่างกับรูปลักษณ์ของเขาอย่างยิ่ง
จ้านเป่ยเซียวไม่แม้แต่จะปรายตามองเขา และยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สลายผมที่กำลังเปียกชื้น และให้ข้ารับใช้รมควันให้เขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง
จ้านชิงอิงไม่รู้สึกอึดอัดที่ตนเองถูกมองข้าม จากนั้นก็หันมองไปรอบ ๆ ด้วยตนเอง : “แล้วนางล่ะ ?”
“ท่านอ๋องสิบสองกำลังมองหาพระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” หลิวหยิ่งพูดขึ้นข้าง ๆ
จ้านชิงอิงหันมองเขาด้วยสายตาชื่นชมในความฉลาดเฉลียว
หลิวหยิ่งพูดว่า : “พระชายาทรงพักผ่อนอยู่ในห้องพ่ะย่ะค่ะ”
“พักผ่อน ? ตอนนี้หรือ ?” จ้านชิงอิงแหงนมองพระอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่เหนือศีรษะ แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า : “พระชายาของพวกเจ้าเกิดปีหมูหรืออย่างไร ?”
“จับโยนออกไป” จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้นอย่างฉับพลัน
มองดูหลิวหยิ่งที่กำลังตรงปรี่เข้ามาหาตนเอง จ้านชิงอิงก็รีบปลีกตัวหลบ จากนั้นจึงหันไปพูดกับจ้านเป่ยเซียวด้วยความรู้สึกคับข้องใจ : “ท่านพี่เจ็ด ข้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อทวงความยุติธรรมหรอกหรือ ท่านเพิ่งกลับมาจากกรมคลังแท้ ๆ นางไม่เพียงไม่อยู่เป็นเพื่อนท่าน แต่กลับหนีไปพักผ่อนเพียงลำพัง ไม่มีสำนึกของผู้เป็นภรรยาแม้แต่น้อย ผู้หญิงเช่นนี้จะคู่ควรกับท่านได้อย่างไร ”
“อืม” จ้านเป่ยเซียวขานรับ
จ้านชิงอิงภูมิใจในตนเอง : “ท่านพี่เจ็ด ท่านเองก็คิดว่าสิ่งที่ข้าพูดมีเหตุผลใช่หรือไม่ เช่นนั้นไม่สู้ท่านฟังคำขององค์ไทเฮา หย่าขาดจากนางแล้วค่อยแต่งงานใหม่ อย่างไรเสียหญิงสาวสูงศักดิ์ที่ยินดีจะแต่งงานกับท่านก็มีอยู่นับไม่ถ้วน”
จ้านเป่ยเซียวหันมองเขาเหมือนกำลังหันมองคนปัญญาอ่อน : “ความหมายของข้าคือ ข้าจะไปพักผ่อนเป็นเพื่อนพระชายา ส่วนเจ้า ไสหัวไป”
ขณะที่พูด ก็เดินตรงเข้าไปในห้องจริง ๆ และทิ้งจ้านชิงอิงให้ยืนตกตะลึงตาค้างอยู่ที่เดิม
จ้านชิงอิงชี้นิ้วที่สั่นเทาตามหลังของจ้านเป่ยเซียวไป จากนั้นจึงหันไปพูดกับหลิวหยิ่งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า : “หลิวหยิ่ง นี่คือท่านพี่เจ็ดของข้าจริงหรือ”
“เป็นนายท่านจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านพี่เจ็ดของข้าเป็นคนไร้เหตุผลเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร ? ข้าคือน้องสิบสองสุดที่รักของเขานะ”
หลิวหยิ่งพูดตัดรอนอย่างไร้ความปรานี : “อ๋องสิบสอง นายท่านเป็นเช่นนี้มาตลอด โดยเฉพาะกับท่าน”
“ข้าไม่อยากฟัง ๆ !” เหมือนกับภรรยาตัวน้อยที่กำลังเอะอะโวยวายอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านอ๋องสิบสอง ท่านะลงมือด้วยตนเอง หรือให้ข้าน้อยช่วยท่านดี ?” หลิงหยิ่งพูดอย่างมีไมตรีเป็นพิเศษ
“อะไรนะ ?”
“นายท่านสั่งให้ท่าน ‘ไสหัวไป’”
“ข้าไม่ไป ข้ายังหาตัวคนที่บังอาจเตะข้าและขโมยม้าของข้าไปในวันนั้นไม่เจอ รอให้ข้าหาตัวเขาให้เจอก่อนเถอะ ! ข้าจะจับเขามัดเอาไว้บนหลังม้า แล้วให้วิ่งวนบนถนนหลวงสักสิบรอบเพื่อระบายความแค้นของข้า !” จ้านชิงอิงพูดขึ้นด้วยความโกรธแค้น แต่ทว่าเมื่อรวมกับใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาของเขาแล้ว จึงดูไม่น่าเกรงกลัวเลยสักนิด
หลิวหยิ่งนึกถึงวิธีการของพระชายาออก และยังนึกถึงการปกป้องของนายท่าน ก็แอบสวดขอพรให้จ้านชิงอิงอยู่ในใจ
ครั้งนี้เฟิ่งชิงหัวนอนหลับไปนาน ตอนที่ลืมตาขึ้นมา ยังรู้สึกสะลึมสะลืออยู่เล็กน้อย ราวกับนกกระทาตัวน้อย ที่เพิ่งฟักออกมาจากไข่ ใช้มือถูตา รู้สึกว่าแสงไฟที่อยู่รอบข้างตนเองนั้นสลัว ๆ
จู่ ๆ ก็เกิดเสียงฟึดฟัดด้วยความไม่พอใจดังขึ้นเหนือศีรษะ นางจึงหันหน้าไปทันที
อีกฝั่งหนึ่งของเตียงหลังใหญ่ จ้านเป่ยเซียวกำลังนั่งพิงอยู่ทางด้านนั้น และถือหนังสือเอาไว้ในมือ เสียงนั้นดังขึ้นมาจากเขา
“ฟ้ามืดแล้วท่านยังอ่านหนังสืออีกหรือ ? ไม่กลัวสายตาเสียหรืออย่างไร ?” เฟิ่งชิงหัวถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
จ้านเป่ยเซียวทำหน้านิ่ง จากนั้นจึงโยนหนังสือที่ใช้เต๊ะท่าอยู่ในมือลงข้าง ๆ : “มานี่”
เฟิ่งชิงหัวถอยหลังอย่างระมัดระวัง : “มีอะไรก็พูดมา ข้าได้ยิน”
จ้านเป่ยเซียวเห็นท่าททางของนาง ก็หยิบผ้าแพรสีขาวออกมาจากตัวแล้วแกว่งไปมา ราวกับนายพรานที่พยายามล่อกระต่ายขาวตัวน้อยให้เข้ามาติดกับ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...