เฟิ่งชิงหัวมองดูใบหน้าของชายหนุ่มที่ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนเสียงอู้อี้ว่า : “อย่ากัดข้านะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
บรรยากาศที่มีเสน่ห์สลายไปทันที
จ้านเป่ยเซียวกัดฟันกรอด จ้องมองแววตาที่แจ่มใสคู่นั้นของนาง แล้วพูดอย่างดุดัน : “ข้าเข้ามาใกล้ข้านัก มิเช่นนั้น แม้แต่นิ้วเจ้าก็จะกัดทิ้งเสีย”
เฟิ่งชิงหัวตาเบิกโพลง เบะปาก พยักหน้า แต่ในใจกลับคิดว่า ตนเองขยับเขยื้อนตั้งแต่เมื่อไรกัน เป็นการหาข้ออ้างเพื่อจะใช้กำลังกับนางชัด ๆ
ม้าควบต่อไปด้านหน้า เฟิ่งชิงหัวเองก็ไม่กล้าหันมองซ้ายมองขวาอีก หากไม่ทันระวังเหยียบเข้าตรงจุดไหนของท่านอ๋องผู้นี้อีก ถึงตอนนั้นคงยากจะแก้ตัวได้ ตอนนี้รอบข้างล้วนมีคนอยู่ ให้คนอื่นเห็นท่าทางการขี่ม้าเช่นนี้ของชายฉกรรจ์สองคนก็นับว่ามากพอแล้ว หากแสดงพฤติกรรมที่ดูสนิทสนมเช่นนี้ออกมาอีก คงจะตลกไม่น้อย
เรื่องเกี่ยวกับประเทศเทียนหลิง เฟิ่งชิงหัวรู้มาไม่มากนัก รู้เพียงแค่ว่าตั้งอยู่บนที่ราบซีหวยที่มีน้ำและพืชพรรณอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยผลิตผลนานาชนิด หลังจากบรรพบุรุษสถาปนาเทียนหลิงแล้ว ก็ย้ายรกรากไปอยู่ด้านในและตั้งซ่างจิงขึ้นเป็นเมืองหลวง แต่กลับไม่ลืมบุญคุณของแม่น้ำมาตุภูมิ จึงไม่ลังเลที่จะใช้งบประมาณจำนวนมากขยายเขตของแม่น้ำให้กว้างใหญ่ไปจนถึงซ่างจิง
ตรงที่ไกล ๆ เฟิ่งชิงหัวเห็นว่าตรงท่าเรือทั้งสองข้าง มีผ้าไหมสีแดงมัดเอาไว้จนเต็มไปหมด ตกแต่งได้อย่างสวยงามเป็นพิเศษ
ผิวน้ำเรียบสงบ ส่องแสงระยิบระยับ ด้านบนมีริบบิ้นหลายสีปลิวไสวอยู่เต็มไปหมด ทันทีที่สีสันหลากหลายมารวมกัน ทำให้ดูเหมือนดอกไม้หลากสีที่ผลิบาน
ด้านนอกสุดของฝั่งมีคนกำลังจัดวางร้านค้า มีการแสดงกายกรรมและการส่งเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้น
เรือหรูรำใหญ่สองชั้นจอดอยู่บนผิวน้ำ ลำเรือแกะสลักลายเกล็ดมังกรและเมฆ ตรงหัวเรือเป็นรูปหัวมังกรขนาดใหญ่ ทั่วทุกแห่งบนเรือมีการประดับประดาด้วยโคมไฟหลวง ดูแล้วหรูหราเป็นพิเศษ ยิ่งมองไกล ๆ ยิ่งรู้สึกมีอำนาจและน่าเกรงขาม
จุดที่อยู่ห่างจากเรือลำใหญ่ออกไปไม่ไกลนัก มีเรือที่ทั้งยาวและแคบจอดอยู่หลายลำ
บนฝั่งถูกแบ่งออกเป็นห้ากลุ่ม แต่ละกลุ่มมี 20 คน แบ่งออกเป็นสีเหลือง สีขาว สีเขียว สีแดง และสีดำ ทั้งห้าสียืนอยู่ตรงจุดนั้น มีการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าว่องไวและทรงพลัง
“เร็วเข้า ปล่อยข้าลง” เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้น ขณะที่พูด ก็แสดงท่าทีว่าจะกระโดดลงจากหลังม้า
จ้านเป่ยเซียวหันมองนางอย่างงุนงง
“ท่านจะขึ้นเรือมิใช่หรือ ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่ ท่านไปที่กลุ่มของท่านก่อน” ขณะที่พูดอยู่นั้น เฟิ่งชิงหัวก็เดินมุ่งหน้าไปยังกลุ่มที่สวมเสื้อสีดำทันที
จ้านเป่ยเซียวหันมองนาง ก็เห็นว่านางไม่มีความห่วงหาอาลัยเลยสักนิด แม้กระทั่งหน้าก็ไม่หันกลับมามอง
จ้านเป่ยเซียวโยนบังเหียนม้าให้องครักษ์ผู้หนึ่ง จากนั้นก็เดินขึ้นเรือมังกรไปทันที
บนเรือมังกรในตอนนี้ ฮ่องเต้เซวียนถงและฮองเฮากำลังยืนอยู่บนแผ่นไม้ตรงหัวมังกร ด้านข้างมิบรรดาโอรสและธิดาสวรรค์ยืนห้อมล้อมอยู่
เมื่อเห็นจ้านเป่ยเซียวเดินเข้ามา ฮ่องเต้เซวียนถงก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนเป็นพิเศษ : “เจ้าเจ็ด มาแล้วหรือ”
จ้านเป่ยเซียวทำความเคารพ จากนั้นจึงลุกขึ้น และได้ยินฮ่องเต้เซวียนถ่งพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “กรมวังบอกว่าปีนี่เจ้าเข้าร่วมการแข่งขันเรือมังกร ข้าเองก็ยังไม่อยากเชื่อ ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นอีกเดี๋ยวข้าคงต้องจับตาดูแล้วว่าความสามารถของเจ้า ถดถอยลงบ้างหรือไม่”
ได้ยินดังนั้น จ้านถิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เลิกคิ้ว : “ที่แท้ท่านพี่เจ็ดก็เป็นคนเสนอตัวเองหรือนี่ ยากนักที่จะได้เห็นท่านพี่เจ็ดสง่างามเช่นนี้”
จ้านเป่ยเซียวไม่ได้สนใจเขา ไม่แม้แต่กระทั่งจายตามอง
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า จ้านถิงเฟิงจะเปลี่ยนบทสนทนาอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า : “ท่านพี่เจ็ดกับน้องสิบสองมีความขัดแย้งอะไรกันหรือ ตอนนี้น้องสิบสองยังพักรักษาตัวอยู่ในจวน ออกไปไหนไม่ได้ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องการแข่งขันเรือมังกรในครั้งนี้ ?”
คำพูดนี้พูดอย่างตรงไปตรงมาจริง ๆ
ความหมายก็คือ เพื่อให้ได้เป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้ จ้านเป่ยเซียวถึงขนาดจงใจทำร้ายคู่แข่งคนสำคัญให้ได้รับบาดเจ็บ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...