ตอน บทที่ 220 แม้แต่นิ้วเจ้าก็กัดทิ้ง จาก พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 220 แม้แต่นิ้วเจ้าก็กัดทิ้ง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายประวัติศาสตร์ พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว ที่เขียนโดย เสี่ยวโหม เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เฟิ่งชิงหัวมองดูใบหน้าของชายหนุ่มที่ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนเสียงอู้อี้ว่า : “อย่ากัดข้านะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
บรรยากาศที่มีเสน่ห์สลายไปทันที
จ้านเป่ยเซียวกัดฟันกรอด จ้องมองแววตาที่แจ่มใสคู่นั้นของนาง แล้วพูดอย่างดุดัน : “ข้าเข้ามาใกล้ข้านัก มิเช่นนั้น แม้แต่นิ้วเจ้าก็จะกัดทิ้งเสีย”
เฟิ่งชิงหัวตาเบิกโพลง เบะปาก พยักหน้า แต่ในใจกลับคิดว่า ตนเองขยับเขยื้อนตั้งแต่เมื่อไรกัน เป็นการหาข้ออ้างเพื่อจะใช้กำลังกับนางชัด ๆ
ม้าควบต่อไปด้านหน้า เฟิ่งชิงหัวเองก็ไม่กล้าหันมองซ้ายมองขวาอีก หากไม่ทันระวังเหยียบเข้าตรงจุดไหนของท่านอ๋องผู้นี้อีก ถึงตอนนั้นคงยากจะแก้ตัวได้ ตอนนี้รอบข้างล้วนมีคนอยู่ ให้คนอื่นเห็นท่าทางการขี่ม้าเช่นนี้ของชายฉกรรจ์สองคนก็นับว่ามากพอแล้ว หากแสดงพฤติกรรมที่ดูสนิทสนมเช่นนี้ออกมาอีก คงจะตลกไม่น้อย
เรื่องเกี่ยวกับประเทศเทียนหลิง เฟิ่งชิงหัวรู้มาไม่มากนัก รู้เพียงแค่ว่าตั้งอยู่บนที่ราบซีหวยที่มีน้ำและพืชพรรณอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยผลิตผลนานาชนิด หลังจากบรรพบุรุษสถาปนาเทียนหลิงแล้ว ก็ย้ายรกรากไปอยู่ด้านในและตั้งซ่างจิงขึ้นเป็นเมืองหลวง แต่กลับไม่ลืมบุญคุณของแม่น้ำมาตุภูมิ จึงไม่ลังเลที่จะใช้งบประมาณจำนวนมากขยายเขตของแม่น้ำให้กว้างใหญ่ไปจนถึงซ่างจิง
ตรงที่ไกล ๆ เฟิ่งชิงหัวเห็นว่าตรงท่าเรือทั้งสองข้าง มีผ้าไหมสีแดงมัดเอาไว้จนเต็มไปหมด ตกแต่งได้อย่างสวยงามเป็นพิเศษ
ผิวน้ำเรียบสงบ ส่องแสงระยิบระยับ ด้านบนมีริบบิ้นหลายสีปลิวไสวอยู่เต็มไปหมด ทันทีที่สีสันหลากหลายมารวมกัน ทำให้ดูเหมือนดอกไม้หลากสีที่ผลิบาน
ด้านนอกสุดของฝั่งมีคนกำลังจัดวางร้านค้า มีการแสดงกายกรรมและการส่งเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้น
เรือหรูรำใหญ่สองชั้นจอดอยู่บนผิวน้ำ ลำเรือแกะสลักลายเกล็ดมังกรและเมฆ ตรงหัวเรือเป็นรูปหัวมังกรขนาดใหญ่ ทั่วทุกแห่งบนเรือมีการประดับประดาด้วยโคมไฟหลวง ดูแล้วหรูหราเป็นพิเศษ ยิ่งมองไกล ๆ ยิ่งรู้สึกมีอำนาจและน่าเกรงขาม
จุดที่อยู่ห่างจากเรือลำใหญ่ออกไปไม่ไกลนัก มีเรือที่ทั้งยาวและแคบจอดอยู่หลายลำ
บนฝั่งถูกแบ่งออกเป็นห้ากลุ่ม แต่ละกลุ่มมี 20 คน แบ่งออกเป็นสีเหลือง สีขาว สีเขียว สีแดง และสีดำ ทั้งห้าสียืนอยู่ตรงจุดนั้น มีการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าว่องไวและทรงพลัง
“เร็วเข้า ปล่อยข้าลง” เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้น ขณะที่พูด ก็แสดงท่าทีว่าจะกระโดดลงจากหลังม้า
จ้านเป่ยเซียวหันมองนางอย่างงุนงง
“ท่านจะขึ้นเรือมิใช่หรือ ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่ ท่านไปที่กลุ่มของท่านก่อน” ขณะที่พูดอยู่นั้น เฟิ่งชิงหัวก็เดินมุ่งหน้าไปยังกลุ่มที่สวมเสื้อสีดำทันที
จ้านเป่ยเซียวหันมองนาง ก็เห็นว่านางไม่มีความห่วงหาอาลัยเลยสักนิด แม้กระทั่งหน้าก็ไม่หันกลับมามอง
จ้านเป่ยเซียวโยนบังเหียนม้าให้องครักษ์ผู้หนึ่ง จากนั้นก็เดินขึ้นเรือมังกรไปทันที
บนเรือมังกรในตอนนี้ ฮ่องเต้เซวียนถงและฮองเฮากำลังยืนอยู่บนแผ่นไม้ตรงหัวมังกร ด้านข้างมิบรรดาโอรสและธิดาสวรรค์ยืนห้อมล้อมอยู่
เมื่อเห็นจ้านเป่ยเซียวเดินเข้ามา ฮ่องเต้เซวียนถงก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนเป็นพิเศษ : “เจ้าเจ็ด มาแล้วหรือ”
จ้านเป่ยเซียวทำความเคารพ จากนั้นจึงลุกขึ้น และได้ยินฮ่องเต้เซวียนถ่งพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “กรมวังบอกว่าปีนี่เจ้าเข้าร่วมการแข่งขันเรือมังกร ข้าเองก็ยังไม่อยากเชื่อ ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นอีกเดี๋ยวข้าคงต้องจับตาดูแล้วว่าความสามารถของเจ้า ถดถอยลงบ้างหรือไม่”
ได้ยินดังนั้น จ้านถิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เลิกคิ้ว : “ที่แท้ท่านพี่เจ็ดก็เป็นคนเสนอตัวเองหรือนี่ ยากนักที่จะได้เห็นท่านพี่เจ็ดสง่างามเช่นนี้”
จ้านเป่ยเซียวไม่ได้สนใจเขา ไม่แม้แต่กระทั่งจายตามอง
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า จ้านถิงเฟิงจะเปลี่ยนบทสนทนาอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า : “ท่านพี่เจ็ดกับน้องสิบสองมีความขัดแย้งอะไรกันหรือ ตอนนี้น้องสิบสองยังพักรักษาตัวอยู่ในจวน ออกไปไหนไม่ได้ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องการแข่งขันเรือมังกรในครั้งนี้ ?”
คำพูดนี้พูดอย่างตรงไปตรงมาจริง ๆ
ความหมายก็คือ เพื่อให้ได้เป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้ จ้านเป่ยเซียวถึงขนาดจงใจทำร้ายคู่แข่งคนสำคัญให้ได้รับบาดเจ็บ
เมื่อฮองเฮาเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ก็คิดว่าตนเองถามจี้ใจดำเข้า จึงสาวความต่อว่า : “ทะเลาะกับพระชายาเจ็ดแล้วอย่างนั้นหรือ ? แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ควรแยกแยะสถานการณ์ให้ชัดเจน เทศกาลแข่งขันเรือมังกรเป็นธรรมเนียมประเพณีของเทียนหลิงเรา ท่านอ๋องปล่อยให้นางละเลยต่อขนบธรรมเนียมเช่นนี้ได้อย่างไร”
จ้านเป่ยเซียวสีหน้าหมองคล้ำ คนของเขา เขาจะว่าอย่างไรก็ได้ แต่คนอื่น ไม่คู่ควร
จ้านเป่ยเซียวหันมองฮองเฮาด้วยสายตาเย็นชา : “มีกฎเกณฑ์ระบุเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรด้วยหรือว่า พระชายาจะต้องมาเข้าร่วมงานประเพณี ? สิบสองเองก็ไม่ได้มา แต่ฮองเฮากลับจงใจหาเรื่องพระชายาไม่ยอมปล่อย นี่คือมารดาของแผ่นดินที่ท่านเป็นอยู่หรือ ? กล่าวโทษโดยไม่ฟังเหตุผลเช่นนี้นะหรือ ?”
ฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็สีหน้าซีดเผือด และรู้สึกจุกอกทันที
จ้านถิงเฟิงพูดตำหนิขึ้น : “พี่เจ็ด ท่านแม่ทรงตรัสก็ด้วยความเป็นห่วง พระชายาของท่านไม่มาโดยไร้สาเหตุ ท่านแม่จึงทรงเอ่ยปากถามขึ้นลอย ๆ เท่านั้น”
“ถามขึ้นลอย ๆ ก็สามารถกล่าวโทษผู้อื่นได้อย่างนั้นหรือ ? ดูเหมือนฮองเฮาจะทรงวางท่าสูงส่งเกินไปหน่อยนะ ?”
“ถึงแม้ไม่มีกฎเกณฑ์ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรว่าพระชายาจะต้องมาเข้าร่วม แต่หากไม่เดินทางมาก็ควรจะแจ้งล่วงหน้าก่อนหรือไม่ ? พวกเราทั้งลำเรือต่างมาถึงแล้ว มีเพียงแค่พวกเจ้าสองสามีภรรยาเท่านั้นที่ยังมาไม่ถึง หรือว่าไม่มีความละอายใจบ้างเลยหรือ ?”จ้านถิงเฟิงพูดขึ้นด้วยความโมโห
“ละอายใจหรือ ? ข้ามาสายอย่างนั้นหรือ ?” ขณะที่พูด จ้านเป่ยเซียวก็หันมองเจ้าหน้าที่กรมพิธีการที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
เจ้าหน้าที่กรมพิธีการรีบโค้งคำนับแล้วพูดขึ้นทันที : “ยังพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่ท่านอ๋องเสด็จมาถึงนั้นได้เวลาพอดี”
จ้านเป่ยเซียวหันมองจ้านถิงเฟิงอย่างดูถูก และพูดขึ้นทันทีว่า : “ส่วนเรื่องที่เจ้าถามว่าทำไมพระชายาของข้าถึงไม่มา นั่นเป็นเพราะข้าไม่อยากให้นางมา เหตุผลนี้ ใช้ได้ไหม ?”
จ้านถิงเฟิงถูกจ้านเป่ยเซียวพูดดักคอจนไม่อาจโต้กลับได้ ทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความโมโห
ฮ่องเต้เซวียนถ่งกลับหันมองลูกชายของตนเอง และแอบรู้สึกประหลาด แต่ไหนแต่ไรมา ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเผชิญหน้ากับเรื่องลำบากใจเช่นนี้ แต่ลูกชายของตนเองก็ไม่เคยคิดจะอธิบายมาก่อน ทำเพียงไม่สนใจมาโดยตลอด แต่วันนี้ ไม่เพียงแค่อธิบายเท่านั้น แต่ยังพูดจาคารมคมร้ายและทุกประโยคล้วนดุดันเป็นพิเศษ นี่เป็นเพราะอะไรกัน ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...