เฟิ่งชิงหัวรู้สึกเพียงว่าไม่เพียงแค่ศีรษะของนางเท่านั้นที่เจ็บปวด แม้กระทั่งกระดูกทั่วร่างกายของนางที่จ้านเป่ยเซียวกอดอยู่ก็เจ็บไปหมด นางดิ้นและพูดอย่างรวดเร็ว “เจ้ารีบปล่อยข้าลง เจ้าจะกอดข้าจนกระดูกหลุดออกจากกันรึ?”
แต่กำลังของจ้านเป่ยเซียวมากเกินไป แขนของเขาแข็งราวกับเหล็ก ไม่ว่าเฟิ่งชิงหัวจะดิ้นรนแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้
จ้านเป่ยเซียวเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว ไม่สามารถฟังสิ่งที่เฟิ่งชิงหัวพูดเข้าไปได้ หัวใจทั้งดวงของเขาเต้นแรงมาก ได้แต่กอดนางแน่นๆ แบบนี้ เขาถึงจะรู้สึกถึงความเป็นจริงและสามารถยืนยันได้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ต่อหน้าเขา
“จ้านเป่ยเซียว เจ้าเป็นบ้าอะไร เจ้าอยากตายก็ตายเอง ข้ายังไม่อยากตาย น้ำกำลังท่วมท้นแล้ว!” เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยความตื่นตระหนกขณะที่เห็นว่าเรือค่อยๆ จม
จ้านเป่ยเซียวอุ้มนาวและกระโดดขึ้นโดยตรงไปที่ความสูงของชั้นสอง สายตาจ้องมองเฟิ่งชิงหัวอย่างดุเดือด ความกดดันที่น่ากลัวแผ่ออกจากร่างกายของเขา เฟิ่งชิงหัวเกือบถูกแช่แข็งจนตายอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“เจ้า เจ้ามองข้าทำไม?” เฟิ่งชิงหัวอยู่ในอ้อมแขนของจ้านเป่ยเซียว ใกล้นางมาก ใกล้จนนางสามารถมองเห็นดวงตาสีดำได้อย่างชัดเจนแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ดวงตาคู่นั้นราวกับอเวจี สามารถเห็นตัวตนที่ลึกที่สุดในใจของผู้อื่น ทำให้นางไม่มีที่ซ่อน
เฟิ่งชิงหัวกัดริมฝีปาก “เจ้า เจ้ามองข้าทำไม?”
จ้านเป่ยเซียวจ้องนางอย่างเย็นชาและพูดอย่างโกรธ ๆ ว่า “เฟิ่งชิงหัวเจ้าโง่หรือ!”
“หา? เจ้าด่าข้าทำไม?”
“เมื่อเห็นว่าเรือรั่ว ทุกคนก็พยายามวิ่งขึ้นไปด้านบน เหตุใดเจ้าจึงไปที่ด้านล่างของท้องเรือแทน เจ้าคิดว่าเรือลำนี้กำลังบินขึ้นไปบนฟ้าหรือ!”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกว่าคำอุปมาของเขาไม่ตลกเลย นางเม้มปากและกำลังจะพูด ชายหนุ่มก็ขัดขึ้นอีกครั้ง “ถ้าอยากตาย ก็ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น ข้าช่วยเจ้าได้!” จ้านเป่ยเซียวพูดเสียงขรึม มีพายุรุนแรงในดวงตาคู่นั้น และความโกรธก็พลุ่งพล่านไปทั่วตัวเขา โดยมีร่องรอยของเจตนาฆ่าอยู่ในนั้น
เฟิ่งชิงหัวหุบปากและกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าทำไมคนผู้นี้ถึงเป็นบ้าตอนนี้ ตอนนี้นางไม่สู้ไม่ไหว ดังนั้นนางจึงได้แต่ระงับความโกรธไว้
เมื่อเห็นว่านางไม่พูด จ้านเป่ยเซียวก็ยิ่งโมโห “พูดสิ เป็นใบ้ไปแล้วรึ!”
เฟิ่งชิงหัวเม้มริมฝีปาก ไม่พูด ไม่พูด ถ้านางอดไม่ได้ที่จะเถียงกลับไป สถานที่นี้จะกลายเป็นหลุมฝังศพของนางจริงๆ
ตอนนี้ใบหน้าของเฟิ่งชิงหัวซีดเผือด นางเม้มริมฝีปากอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเชื่อฟัง ราวกับว่านางทนทุกข์ทรมานมาอย่างหนัก เขามองแล้วหลังจากโมโหก็ทำให้เขาเอ็นดูนางมากยิ่งขึ้น
เสียงของจ้านเป่ยเซียวก็แผ่วลงเช่นกัน “หากพบเรื่องอันตรายเช่นนี้ เจ้าควรติดตามข้าอย่างใกล้ชิด ถ้าข้าไม่กลับมาหาเจ้า เจ้าจะยังมีชีวิตอยู่หรือ?” แต่ทั้งสองไม่มีใครสังเกตเห็น
เฟิ่งชิงหัวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเข้าไปในดวงตาของเขา สังเกตว่าความโกรธของเขาหายไปมาก นางจึงกระซิบว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะข้า พวกเจ้าก็จะไม่สามารถรอดพ้นจากอันตรายได้”
“อะไรนะ?” จ้านเป่ยเซียวได้ยินไม่ชัดพร้อมขมวดคิ้ว
เฟิ่งชิงหัวกล้าขึ้นอีกครั้ง มองจ้านเป่ยเซียวตรงๆแล้วพูดว่า “ข้าไปที่ห้องโดยสารด้านหลังเพราะมีคนทำอะไรบางอย่างในห้องควบคุม และถ้าข้าไม่กลับไป ระยะทางก็จะไกลขึ้นเรื่อย ๆ เรือเล็กขนาดนั้น ต้องส่งเข้าฝั่งสองครั้ง ถ้าข้าไม่ไป พวกเจ้าช่วยส่งทุกคนออกไปได้อย่างปลอดภัยรึ อีกอย่าง ข้าไม่ได้ตั้งใจขังตัวเองไว้ในนั้น ใครจะรู้ว่าตอนที่วิ่งหนีจะปิดประตูให้ข้า ไม่งั้นด้วยความสามารถของข้า แม้จะว่ายน้ำก็ตาม ข้าก็สามารถว่ายน้ำไปอีกฝั่งได้ !”
จ้านเป่ยเซียวหัวเราะออกมา “หมายความว่าข้าเข้าใจเจ้าผิดไปแล้วรึ?”
เฟิ่งชิงหัวเบะปากและไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของนางกลับบอกว่า ใช่แล้ว เจ้าเข้าใจข้าผิด ทำไมเจ้าไม่รีบขอโทษข้าเสียที!
แต่คำขอโทษรอไม่ถึง รอมาถึงการถูกตบหัว
“ทำไมเจ้าถึงตีข้าอีกครั้ง!” เฟิ่งชิงหัวเหมือนเสือดาวที่กำลังโกรธ
“เจ้ามีความสามารถมาก ทำไมเจ้าถึงหนีด้วยตัวเองไม่ได้”
เฟิ่งชิงหัวยังคงกัดฟัน นางคือผู้ที่มีได้ทำช่วยทุกคน แต่นางก็ปฏิเสธที่จะยอมรับ
จ้านเป่ยเซียวจิ้มใบหน้าที่บึ้งๆของเฟิ่งชิงหัวและพูดว่า “ในสถานการณ์วิกฤตนี้ เรืออาจจมได้ทุกเมื่อ คุ้มไหมที่เจ้าช่วยชีวิตคนอื่นและเอาชีวิตของเจ้าไปแลก? มีทหารอารักขามากมาย ไม่จำเป็นที่เจ้าไปเสียสละและทุ่มเทแบบนี้ จำไว้เลยว่าคราวหน้าต้องวิ่งหนีก่อน อย่าไปสนใจคนอื่น”
“แต่…”
“ไม่แต่ คนอื่นไม่สำคัญเท่าเจ้า ถึงตายไปกี่คน ก็เป็นเพราะชีวิตของพวกเขาไม่ดี เจ้าคนเดียวจะช่วยได้กี่คน?”
เฟิ่งชิงหัวก้มศีรษะลงและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าครั้งนี้นางประมาทไปหน่อย ช่วยชีวิตผู้คนต้องช่วยตามกำลัง และความสามารถ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นางไม่มีความสามารถนั้น
นิ้วของจ้านเป่ยเซียวจิ้มมาอีกครั้ง “รู้ว่าผิดไปแล้วรึยัง?”
เฟิ่งชิงหัวมองไปที่จ้านเป่ยเซียว “แล้วทำไมเจ้าถึงกลับมา นอกจากนี้ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่บนเรือและไม่ได้หนีไปตั้งแต่เนิ่นๆ”
จ้านเป่ยเซียวไม่ตอบคำถามของเฟิ่งชิงหัว เขาปล่อยนางไป “ถ้ายังไม่ออกไป เรือก็จะจม”
ตอนนี้เรือได้สูญเสียหลังคาชั้นหนึ่งไปแล้วและกำลังจะถึงชั้นสอง
เนื่องจากเมื่อครู่ตัวเรือเพิ่งลอยขึ้น และตอนนี้ถูกกระแสน้ำพัดไปไกล แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะว่ายไปที่นั่นด้วยพละกำลังของพวกเขา
จ้านเป่ยเซียวยืนขึ้น ดึงประตูทั้งสองบานออก ยื่นมือออกไปแล้วพูดกับเฟิ่งชิงหัวว่า “เอาผ้าไหมสีขาวให้ข้า”
เฟิ่งชิงหัวรีบชักมือออก “บอกว่าจะให้ข้าไง เจ้าจะคืนคำไม่ได้”
จ้านเป่ยเซียวสงสัยจริงๆ ว่าหัวของหญิงสาวคนนี้มีน้ำเข้า ตอนนี้เป็นเวลาอะไรแล้วนางก็ยังเอาเป็นของลำค่าอยู่
เขาขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับนาง เขาดึงมันออกจากแขนของนาง มัดกระดานทั้งสองเข้าด้วยกัน โยนมันลงไปในน้ำ จากนั้นอุ้มเฟิ่งชิงหัวไว้ในอ้อมแขนและกระโดดขึ้นไปและวางไว้ตรงกลางให้นั่งลงดีๆ
“นั่งที่นี่ อย่าขยับตัว คว่ำแล้วว่ายน้ำกลับเอง” จ้านเป่ยเซียวขู่
เฟิ่งชิงหัวรู้ว่านี่คือการที่ทำให้ร่างนางอยู่นิ่ง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าขยับ
จ้านเป่ยเซียวถอดเสื้อผ้าของเขาออกแล้วโยนลงบนร่างของเฟิ่งชิงหัว “ห่อร่างไว้”
เขาหยิบไม้พายและเริ่มพาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...