“ใช่แล้วล่ะ เจ้าไม่ใช่บอกว่าเจ้าให้คนไปซุ่มจับตาดูไว้? เป็นไปไม่ได้ว่าผ่านมานานขนาดนี้แล้วยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรขึ้นอีก?” เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว แล้วมีท่าทีประมาณว่าเจ้าเชื่อถือได้หรือไม่กันแน่ออกมา
จ้านเป่ยเซียวถูกท่าทางที่สมเหตุสมผลของนางเช่นนี้ทำให้โมโหจนขำออกมา ยื่นมือไปดีดปลายจมูกของนางเล็กน้อย: “ดูท่าทางมั่นใจของเจ้าเช่นนี้ที่มาเรียกใช้ข้า ใครไม่รู้ยังคิดว่าเจ้าเป็นนายท่านของข้า เป็นองค์หญิงไปสองวัน ไม่ได้เรียนรู้มารยาทเลย กิริยาท่าทางขององค์หญิงต้องวางมาดทำเป็นนิ่งๆ”
ปลายนิ้วของฝ่ายชายเย็นเล็กน้อย ในอากาศร้อนเช่นนี้ช่วงหน้าร้อนพาดผ่านความเย็นสบายไป เปรียบดั่งเกล็ดหิมะร่วงลงมาแตกอยู่ที่ปลายจมูก ค่อนข้างคันเล็กน้อย
เฟิ่งชิงหัวลูบจมูกไปมาแล้วกล่าวเสียงกระแอมออกมา: “นี่ข้าไม่ได้วางมาดเลย”
“งั้นคืออะไร เอาผู้ชายของเจ้าเรียกใช้เป็นบ่าว?” จ้านเป่ยเซียวตวัดสายตามองไปยังนางครู่หนึ่ง
“หรือว่าไม่ใช่ว่ามีใครบางคนบอกเองว่าได้ส่งคนไปซุ่มดูไว้แล้ว ให้ข้าอดใจรอไว้?”
“ใครบางคนคือใคร?”
“ใครบางคนก็คือเจ้า!”
“เจ้าเป็นใคร?”
“จ้านเป่ยเซียว! นี่เจ้ากำลังเล่นเกมอักษรคำกับข้าใช่ไหม?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยความโมโห: “ได้ เจ้าไม่จัดการก็ช่างมัน ข้าไปจับตาดูไว้เองก็ได้!”
เฟิ่งชิงหัวพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืนจะเดินออกไปด้านนอก เพิ่งจะลุกขึ้นจากบนเก้าอี้ก็ถูกจ้านเป่ยเซียวยื่นมือค่อยๆ ออกมาดึงที่ขาไว้แน่น มือทั้งของขาก็โอบนางไว้ในอ้อมอก แล้วกดศีรษะยัดเข้าไปในอ้อมอก
อ้อมอกของฝ่ายชาสั่นสะเทือน คำพูดแฝงไว้ด้วยเสียงหัวเราะดังมาจากด้านบนศีรษะของนาง: “ล้อเล่นบ้างไม่ได้เลยหรือ? เหมือนเสือดาวน้อยเลย”
จากนั้นเฟิ่งชิงหัวก็ทุบกำปั้นไปบนอ้อมอกของฝ่ายชาย: “เจ้าขำบ้าอะไร! มีอะไรน่าขำนักเหรอ”
มองไม่เห็นสีหน้าของฝ่ายชาย แต่อ้อมอกที่สั่นสะเทือนนั้นกลับยิ่งดูน่ายินดีมากขึ้นเรื่อยๆ บังเอิญเผยให้ได้ยินเสียงหัวเราะที่อู้อี้เล็กน้อยออกมา
เฟิ่งชิงหัวอยากจะเงยศีรษะขึ้น กลับถูกฝ่ายชายกดศีรษะลงมาไว้ใต้คางแน่น นางยิ่งเดือดดาลมากขึ้น ยื่นมือออกมาบีบแบนของจ้านเป่ยเซียว แล้วก็กล่าวออกมาอย่างฉุนเฉียวว่า: “ไม่อนุญาตให้ขำแล้ว! มีอะไรน่าขำฮะ! จ้านเป่ยเซียว เจ้าเผยธาตุแท้ของตนเองออกมาแล้วหรือไง!”
เฟิ่งชิงหัวอยากจะให้การตักเตือนแก่เขาเล็กน้อย แต่นิ้วมือของนางที่บีบอยู่บนแขนที่กล้ามเนื้อเต่งตรึงของฝ่ายชายก็เหมือนดั่งว่าบีบท่อนไม้ท่อนหนึ่งอยู่ก็ว่าได้ ไม่มีความสยบเลยแม้แต่นิด
เฟิ่งชิงหัวโมโหจนอยากจะซัดคน
“เจ้าปล่อยข้า เชื่อไหมว่าข้าจะพ่นพิษใส่เจ้า!”
“เจ้าก็มีความสามารถแค่จะข่มขู่ข้าเท่านั้นเอง” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างเย็นชาออกมา ก้มศีรษะจ้องไปยังดวงตาของเฟิ่งชิงหัว: “เผชิญกับปัญหาอย่าร้อนรน เจ้าตั้งใจรอเป็นชาวประมงก็เท่านั้นเอง”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินก็ไม่เอะอะ เห็นเขากล่าวออกมาอย่างตั้งใจ ก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า: “ข้าเป็นชาวประมง งั้นเจ้าล่ะ? เป็นนกอีก๋อยหรือหอย?”
จ้านเป่ยเซียวก้มศีรษะแล้วก็จูบเบาๆ ลงไปบนริมฝีปากของเฟิ่งชิงหัว: “เด็กโง่ ข้าไม่ใช่นกอีก๋อย แล้วก็ไม่ใช่หอย เป็นพระสวามีของเจ้า”
หว่างคิ้วเผยให้เห็นรอยยิ้ม มีความรักที่อบอุ่นเปี่ยมไปทั้งดวงตา
เฟิ่งชิงหัวเอนศีรษะ ใบหน้าเล็กๆ ที่ขาวนวลก็ค่อยๆ แดงขึ้น ยื่นมือไปลูบผมของตนเองอย่างเขินอาย แล้วกล่าวพึมพำออกมา: “เจ้าจะเป็นการเป็นงานหน่อยได้ไหม”
ในแววตาของจ้านเป่ยเซียวแอบซ่อนความปรนเปรอเอาไว้ ปล่อยเฟิ่งชิงหัวออก: “ไม่ใช่จะทานอาหารหรือ? ทานเสร็จก็นอนพักกลางวันเร็วหน่อย ตอนกลางคืนมีงานเลี้ยงในวัง”
เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว: “เหตุใดจึงมีงานเลี้ยงในวังได้?”
“ในวังมีงานเลี้ยงขึ้นไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องปกติเหรอ ก็แค่หาข้ออ้างไปตามสะดวกเท่านั้นเอง”
“งี่นเมื่อก่อนทำไมข้าจึงไม่ได้มาเข้าร่วมตั้งหลายครั้ง?” เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว
“เพราะว่าข้าไม่ชอบ” เขาไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนว่าก็ย่อมไม่พานางไป
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า แล้วก็อ๋อออกมาคำหนึ่ง
“เจ้าชอบ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วขึ้น
“อาหารในวังก็ค่อนข้างอร่อยนะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างตรงประเด็น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...